มื้อเย็น

#Sayhi 📌ที่ตั้งร้านอยู่ในซอยทองหล่อ 9 (ซอยที่ทะลุไปออกซอยสุขุมวิท 53), ถ้าเข้าจากฝั่งซอยทองหล่อ ตัวร้านจะอยู่ทางขวามือ 🚘 ที่จอดรถมีจัดเตรียมไว้ให้ รองรับได้ประมาณ 15 คันแถมมียามคอยโบกรถให้ตั้งแต่ขับเข้าประตูรั้ว ⏰ 18:00-22:00 น. (ทุกวัน) [Why Baltic Cuisine?] ร้านนี้ควบคุมการดูแลโดยเชฟ Martin Blunos (Iron Chef U.K. ที่เคยได้มิชลินสตาร์ 2 ดาวจากร้าน Lettonie ที่อยู่เมือง Bath ประเทศอังกฤษ แต่ปัจจุบันร้านปิดตัวไปแล้ว) และเชฟ Aleksandrs Nasikailov (เชฟหนุ่มหล่อที่เชฟ Martin ชวนมาเปิดร้านอาหารแห่งนี้) โดยเชฟทั้ง 2 เป็นชาวลัตเวียโดยกำเนิด ซึ่งเป็นที่มาของเมนูอาหารที่เสริฟที่ร้าน จุดเด่นของอาหารบอลติก คือ เน้นการชูรสธรรมชาติของวัตถุดิบเป็นหลัก ไม่เน้นการปรุงแต่งเยอะๆ มีการใช้เครื่องเทศที่น้อยมาก โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ก็จะเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นที่ปลูกได้ในประเทศเช่น มันฝรั่ง, บีทรูท, แป้งสาลี, ผลไม้ตระกูลเบอรี่, เห็ดต่างๆ, เป็นต้น ซึ่งจุดนี้ทางเชฟ Martin เล่าให้พวกเราฟังว่า ทางร้านได้เปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยมาปรุงอาหาร แถมวัตถุดิบบางอย่างของไทยอย่างเนื้อหมู ก็มีคุณภาพดีเยี่ยม ไม่แพ้วัตถุดิบนำเข้าหรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ [Course Menu] ในส่วนของเมนูที่เราได้ลองทานในวันนี้ คือ 6 course menu ราคา 2900 บาท (Excluding Drinks) รายละเอียดตามนี้เลยค่า [Amuse Bouche] เสริฟเป็นต้นไม้ 4 ฤดู (4 seasons tree) เนื่องจากประเทศลัตเวียมีครบทั้ง 4 ฤดู: Spring, Summer, Autumn, และ Winter บริเวณพื้นหญ้าด้านล่างที่เป็นก้อนกลมๆ เป็นตัวแทนของเห็ดทำมาจากมูสเห็ดทรัฟเฟิล เนื้อเนียน หอมกลิ่น truffle oil มีรสหวานมัน ส่วนใบไม้จะมี 3 รสชาติ: สีทองคือ เห็ด porcini, สีเขียวคือ seaweed (สาหร่าย), และสีแดงคือ ผล mulberry (ลูกหม่อน) เราว่าสีเขียวทำรสชาติออกมาได้ชัดเจนกว่าใบไม้สีอื่นๆ [Bread] 🍞 ขนมปัง sourdough หมักโดยการใช้ mother yeast แทนยีสต์ปกติและมีส่วนประกอบของน้ำมะพร้าว โดยใช้เวลาหมักนานถึง 36 ชม. เสริฟมาในกล่องไม้พร้อมเนย 2 ชนิด: Hemp Butter (เนยที่ทำมาจากแก่นกัญชา) และ Salted Butter >> ขนมปังทานคู่กับเนย 2 ชนิด อร่อยมากจริงๆ เราเองเผลอหยิบทานไปหลายชิ้น ชอบตรงผิวที่มีความกรอบและเนื้อขนมปังที่มีความเหนียวนุ่มพอดี [6 courses] #1: Pearl of Siam: เสริฟมาหน้าตาสวยงามตามชื่อ โดยหลังจากที่พนักงานยกมาเสริฟ เชฟจะใช้ torch burner เจาะก้อนน้ำแข็งกลมๆ เราเองก็แอบลุ้นหน้าตาอาหารด้านในไปด้วย >> อาหารเมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเมี่ยงคำของไทย โดยจะมีใบชะพลูและกลีบบัวรองด้านล่าง ส่วนเนื้อสัตว์ใช้เป็นหอยแมลงภู่ที่มีความสดมากๆ เหมือนพึ่งขึ้นมาจากทะเล คำนี้เป็นการเริ่มเปิดคอร์สที่น่าสนใจ ทำให้เราแอบลุ้นเมนูถัดไป เพราะแค่จานแรกก็ประทับใจแล้ว #2: Sea Urchin: เมนูที่เรารอคอย เพราะใช้วัตถุดิบของโปรดอย่างหอยเม่นญี่ปุ่นที่มีความครีมมี่เป็นส่วนประกอบหลัก โดยจานที่ใส่มีความสวยงามโดดเด่น เสมือนเป็นตัวแทนของเปลือกหอยเม่น ส่วนผสมหลักๆ จะมี หอยเม่นญี่ปุ่น (uni), sappan tree (แก่นไม้ฝาง), และส้มซ่า >> เมนูนี้ปรุงมาได้ว้าวจริงๆ ได้สัมผัสถึงความหวานธรรมชาติของ Uni ที่มีรสละมุน ไม่มีความคาว และวัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้ ก็ช่วยเสริมรสชาติให้พระเอกจานนี้โดดเด่นขึ้นมาก #3: Mackerel: 🐟🥔 เมนูนี้เชฟจะนำปลา Mackerel ทั้งตัวที่ถูกกำจัดก้างออกอย่างดี ไปหมักในน้ำส้มสายชูเป็นระยะเวลา 8 นาที คล้ายๆ กับวิธีการปรุง Ceviche หลังจากนั้นผิวด้านบนของปลาจะถูกนำมาเผาไฟเพื่อให้ caramelized และมีความหอม ส่วนมูสด้านบน คือ Mackerel Mousse และ Beetroot Mousse >> รสสัมผัสของปลาใกล้เคียงกับการทานปลาซาบะดองของญี่ปุ่น ในส่วนของเครื่องเคียงที่เสริฟมาคู่กัน ทำมาจากมันฝรั่งที่เสริฟมาหลากหลายรูปแบบ ส่วนฐานทำมาจากมันฝรั่ง ที่ถูกนำไปรีดเพื่อกำจัดความชื้น และทำออกมาเป็นแผ่นบางๆ มีความกรุบกรอบ โดยด้านในจะมี Horseradish Cream ที่ให้รสชาติฉุนขึ้นจมูกคล้ายๆ ทานวาซาบิ และท็อปด้านบนด้วย Potato Croquette ลูกกลมๆ ที่กรอบนอกนุ่มใน เป็นการเพิ่มรสสัมผัสให้อาหารจานนี้มีรสชาติที่น่าสนใจมากขึ้น #4: Cold Smoked Salmon: เมนูนี้สามารถเปลี่ยน smoked salmon ธรรมดาๆ ให้ออกมาพิเศษมากขึ้น โดยจับคู่กับวัตถุดิบที่มีรสเฉพาะตัวอย่าง Okra (กระเจี๊ยบเขียว) และเพิ่มรสชาติด้วย Salmon Mousse, Lime Gel, Ikura (ไข่ปลาแซลมอน) และกุ้งแห้งแบบไทยๆ ที่มาแบบดิบๆ เป็นอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีเชฟคนไหนนำกุ้งแห้งมาปรุงในลักษณะนี้ แม้เนื้อกุ้งแห้งจะค่อนข้างแข็งแต่พอทานรวมๆ กับวัตถุดิบอื่นๆ ก็เข้ากันดี #5: Suckling Pig 🐷(served with Celeriac and Pork Jus): เมนูนี้คล้ายทานหมูหันแต่มีความพิเศษกว่าหมูหันทั่วๆ ไป ตรงที่ไม่มีมันเลี่ยนๆ หนาๆ แทรกตรงกลางระหว่างหนังและเนื้อ เราแอบทึ่งในเทคนิคที่เชฟใช้ เพราะหนังหมูมีความบางมากแต่ยังคงความกรุบกรอบแบบพอดีๆ ในส่วนเครื่องเคียงเน้นวัตถุดิบ “Celeriac” (หัวเซเลอรี่) โดยใช้วิธีการปรุงหลักๆ 3 แบบ: ส่วนแรกจะนำไปรีดมาจนบางเสริฟแบบชิพส์, ส่วนที่สองนำไป purée คล้ายทานมันบด เนื้อเนียน หวานมัน มีความหอมเฉพาะตัว, และส่วนสุดท้ายจะนำไปทอดให้หน้าตาออกมาคล้ายหมูกระจก อร่อยทุกแบบเลย แถมซอสที่ราดมาด้านบนก็ปรุงมาดี แนะนำเลยให้ทานเมนูนี้คู่กับไวน์แดง ก่อนจบมื้อด้วยของหวาน เชฟ Aleksandrs เข็นอุปกรณ์ Ice plate มาทำ Palate Cleanser ให้เราทานถึงข้างๆ โต๊ะ ก่อนที่จะเสริฟเมนูของหวานเป็นคอร์สสุดท้าย #6: Coconut 🥥🌴 (Caramelized Ice Cream with Coconut Jelly): เมนูของหวานในวันนี้เน้นชูรสชาติของมะพร้าว โดยชั้นล่างสุดจะเป็นพุดดิ้งเต้าหู้รสช็อคโกแลตตามด้วย caramelized coconut jelly, coconut mousse,และช็อคโกแลตที่มีรสชาติของคาราเมลแฝง ส่วนแผ่นกลมๆ ที่รอง caramelized coconut ice cream คือ white chocolate tuile (ทวีล) ท๊อปด้วยผงมะพร้าวคั่ว >> ของหวานเมนูนี้ทำให้เราได้ทานรสชาติมะพร้าวที่เสริฟมาในรูปแบบที่หลากหลาย มาครบทุกรสสัมผัส เป็นการปิดมื้อที่แสนประทับใจ [Palate Cleanser] 🍭🍒 ปกติร้านอื่นมักจะใช้ sorbet และเสริฟมาในถ้วย แต่ของร้านนี้มีความพิเศษตรงที่ เชฟ Aleksandrs ลงมือทำอมยิ้มที่ทำมาจากโยเกอร์ต, ครีม, และมูสเชอร์รี่ บนแผ่นน้ำแข็งที่มีความเย็นจัด (อุณหภูมิติดลบกว่า -100 องศา) โดยลูกค้าทุกคนจะได้รับแจกคนละ 1 อัน >> แม้จะอันเล็กหน่อยแต่เป็นอมยิ้มที่ทานแล้วมีความสุข [Complimentary] 🍫 วันนี้ลูกค้าทุกคนได้สิทธ์ในการเลือกชิม Bon Bon Chocolate ที่ทางร้านทำเอง โดยมีรสชาติให้เลือกถึง 15 รส >> เราเองได้ลองหลายรสมากๆ เพราะตัดแบ่งชิมกับเพื่อนๆ สำหรับรสชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนที่ไหนคือ “รสต้มข่า” ที่แนะนำว่าห้ามพลาด ส่วนใครที่ชิมแล้วติดใจ อยากซื้อช็อคโกแลตของทางร้านกลับไป ทางร้านเค้าก็มีกล่องของขวัญเก๋ๆ จัดเตรียมไว้สำหรับบรรจุ ราคาต่อชิ้นอยู่ที่ 80 บาท (1 กล่องใส่ได้ประมาณ 8 ชิ้น) [Drinks] 🍷🥂 เราสั่งเครื่องดื่มที่นอกเหนือจากน้ำแร่นำเข้ามา 3 อย่าง: ไวน์ขาว, ไวน์แดง (ปี 2015 จากฝรั่งเศส), และ Rosé ดีทุกตัวที่เลือกมาเลยโดยเฉพาะไวน์แดงที่รสนุ่ม ดื่มง่าย แอบเสียดายที่เปิดขวดตัวนี้ช้าไปหน่อย ถ้าได้ทานคู่กับเมนู suckling pig น่าจะฟินมากทีเดียว ส่วนชาคาร์โมมายด์ 🍵 ที่สั่งมาดื่มพร้อม chocolate ก็ใช้ใบชาคุณภาพดี เหมาะสำหรับจิบปิดท้ายมื้อค่ำ โดยรวมสำหรับมื้อนี้เป็นมื้ออาหารที่แสนประทับใจ แม้เชฟ Aleksandrs จะพูดน้อยไปหน่อย แต่ก็มีเชฟ Martin คอยรับหน้าที่ entertain ลูกค้าแทน เล่าถึงที่มาของแต่ละเมนู ทำให้เรารู้สึกอินไปกับอาหารแต่ละเมนูที่ทั้งสวยและอร่อย ชอบตรงที่การปรุงอาหารแบบที่ไม่ใช้เครื่องเทศเยอะเกินไป ช่วยทำให้สามารถดึงรสชาติของวัตถุดิบหลักออกมาได้แบบโดดเด่น เพราะส่วนประกอบทุกอย่างช่วยเสริมรสชาติได้อย่างลงตัว ส่วนการบริการถือว่าอยู่ในระดับ 5 ดาวตั้งแต่ขับรถถึงหน้าร้านแล้วฝนตกหนักแบบที่ไม่สามารถลงจากรถได้ ในส่วนนี้มีพนักงานมาต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูร้านและนำรถไปจอดให้เรียบร้อย >> การบริการทุกอย่างในวันนี้ถือว่าทำได้ดีแบบที่ไม่รู้จะติอะไร ใครที่ชอบทาน fine dining ที่ไม่ได้ดีแค่พรีเซนเทชั่น แนะนำว่าเลยว่าห้ามพลาดร้านนี้

  • 17
  • 4
19/10/04

Other Reviews