มื้อเย็น

ส่วนตัวชื่นชอบเชฟ Martin Blunos เจ้าของร้านอาหาร Baltics Blunos แห่งนี้ ประวัติของเชฟเป็นถึงเชฟกระทะเหล็กจากอังกฤษ เราได้ดูเชฟคอมเม้นในรายการ The next iron chef Thailand แล้วเชฟคอมเม้นอาหารของผู้เข้าแข่งขันได้อย่างดี มีเหตุมีผล และมีความรู้อย่างแท้จริง ร้านนี้เป็นร้านใหม่ที่เชฟเพิ่งเปิด มาพร้อมกับ executive chef ของเค้า คือ Aleksandrs Nasikailov ที่เป็นคนทำอาหารในครัว พูดน้อย ตรงข้ามกับเชฟ Martin Blunos เลยค่ะ พิกัดร้านอยู่ที่ ทองหล่อซอย 9 ถ้าเข้ามาจากทองหล่อ เลยสามแยกแล้วร้านอยู่ขวามือ มีที่จอดรถหลายคัน โดยร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Bar และส่วนของ Dining โดย Dining course มีให้เลือก 2 Set คือ 6 course ราคา 2,900 บาทเนท และ 8 course ราคาจะเป็น 3,400 บาท (Net) โดยอาหารที่เสริฟจะเป็นอาหารสไตล์บอลติก ผสมผสานระหว่างเมดิเตอร์เรเนียน กับ Chef experience - เริ่มเสริฟจานแรก และสร้างความตื่นตาตื่นใจว่าใบไม้ทานได้ดวยหรอกับเมนู 'ใบไม่เปลี่ยนสี' เสริฟมาเป็นต้นไม้ที่มีใบกำลังเปลี่ยนสีในป่าเขียวชะอุ่ม ทำให้มีเห็นทรัฟเฟิลขึ้นที่โคนต้น โดยใบไม้สามารถทานได้ด้วย รสชาติต่างกัน มีสามสี คือ สีเขียว (สาหร่าย) สีเหลือง (เห็ดพอร์ชินี) และสีแดง (มัลเบอร์รี่) ส่วนเห็นทรัฟเฟิล เป็นมูสทรัฟเฟิล ที่รสชาติทรัฟเฟิลชัดเจนมาก คนชอบทรัฟเฟิลแบบเราฟินค่ะ - นอกจากนี้ ร้านยังมี ขนมปังสูตรพิเศษจากทางร้าน ที่เชฟเรียกว่า 'Mothers bread' หรือ ' Sourdough' ที่ไม่ใช้ยีสต์หมัก เสริฟคู่กับเนย 2 แบบ เป็นเนยเค็ม กับเนยกัญชง อาหาร 6 course ประกอบด้วย 1. 'Pearl' เพิ่มประสบการณ์การทานอาหารด้วยการเสริฟน้ำแข็งก้อนกลมที่มองไม่เห็นด้านในจนกว่าจะมีการ burn ก่อนทาน ก็จะพบกับ เมี่ยงคำที่ประกอบด้วย หอยแมงภู่ อโวคาโด และใบชะพลู 2. 'Sea Urchin' เสริฟมาในชามหอยเม่นที่มีฟองส้มซ่าอยู่ด้านบน ก่อนจะตักไปแล้วเจอ อูนิ (Uni) และแก่นฝางเสน (Sapane Tree) 3.'Mackerel' วัตถุดิบหลักของจานนี้ คือปลาแมคเคอเรลจากยุโรป โดยหมักปลาแค่ 7 นาที ทำให้สุกด้วยน้ำส้มแล้วนำมาเผา ส่วนประกอบอื่นๆ ในจานยังมี sweet potato, Beetroot และ Wasabi (Horseradish cream) เสริฟคู่ ทำให้รสชาติกลมกล่อมเมื่อทานทุกอย่างรวมกัน 4 'Cold Smoked Salmon' แซลมอนรมควันชิ้นใหญ่กว่าที่เคยเจอ จัดวางมาน่าทาน ให้ทานคู่กับ เลมอนเจล, กระเจี๊ยบ กุ้งแห้ง และ มูสแซลมอน 5 'Sukling Pig" ออกแบบจานนี้ให้ดูเหมือนหมูหัน ที่เอาวัตถุดิบหลัก คือหมู มาทำเป็นองค์ประกอบ 3 ส่วน ทั้ง หมูชิ้นที่ราดซอสแอ๊ปเปิ้ลก่อนทาน แก่นตะวันที่ออกแบบมาคล้ายหนังหมูกรอบ และแคปหมู 6 'Coconut' ของหวานจานสุดท้ายใน course แต่ไม่ท้ายสุด ที่ประกอบด้วย caramelized coconut ice cream, coconut jelly และ Chocolate นอกจากนี้ ร้านมีกิมมิก น่ารักๆ ของขนมหวาน โดยเชฟ Alexander ที่ยกเตาไนโตรเจนเหลวมา เพิ่มประสบการณ์การทานของหวาน ด้วย Lollipop สีชมพู ที่ประกอบด้วย Cherry, Whip cream, Jelly และ Yogurt ที่ทำกันตรงนั้นและส่งให้ทานกับมือเชฟเอง ทานแล้วเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ปิด course ด้วย Bon Bon Chocolate ที่ให้ฟรี คนละ 2 ชิ้นด้วยค่ะ โดยมี ชอคโกแลตให้เลือกหลากหลายรส ทางเราต้องขอลองรสที่ไม่มีในร้านอื่น คือรสชาติ ข่าไก่ ก็เปิดประสบการณ์การทานชอคโกแลตไปอีกแบบค่ะ คิดว่า ชอคโกแลต ควรทานคู่ชาร้อน จะช่วยทำให้รสหวานกลมกล่อมขึ้นได้ เมนูอื่นๆ ที่ได้สั่งเพิ่ม คือ - 'Carrots in Soil' (260 บาท) น่าตาน่ารักน่าถ่ายรูป เพราะออกแบบให้เป็นเหมือนกระถางปลูกแครอท มีได่ มีแครอทปักลงไป ดินที่ปลูกมาเป็น charcoal ก็สามารถทานได้หมด - 'Smoked Salmon Tartare' (290 บาท) เป็นอีกเมนูที่น่าถ่ายรูป เพราะออกแบบคล้ายๆ ปลูกต้นไม้บอนไซในความคิดเรา ทานเป็นชิ้นพอดีคำ พร้อมไข่ปลาแซลมอน on top เป็นการเปิดประสบการณ์ของการทานอาหารที่ดีเลย ทั้งวิธีการจัดจาน การเสริฟ และเชฟที่ขึ้นชื่อเรื่องฝีมือการทำอาหารแล้ว ควรค่าแก่การมาทานมื้อพิเศษค่ะ

  • 8
  • 2
19/09/27

Other Reviews