ร้านขนาด 1 คูหาในถนนนิมมาน สามารถจอดรถได้ที่ริมทาง บริเวณรอบๆร้านจะเป็นร้านเหล้าซะส่วนใหญ่ที่จะเปิดให้บริการในช่วงเย็น แต่เมื่อเราเข้าไปในร้านแล้ว จะเงียบสงบอย่างประหลาด ชั้นล่างจะดูรกๆ มีทั้งอุปกรณ์ทำอาหารเต็มไปหมด และมีของดองที่ทางเชฟดองไว้ในโหลแก้วครับ โดยทางขึ้นก็จะมีประตูเลื่อนปิดไว้อยู่ ก็เพียงเลื่อนแล้วจะเจอกับที่นั่งที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยครับ สำหรับร้านนี้การจะมา Walk-in คงทำไม่ได้ครับ ต้องโทรมาจองล่วงหน้าก่อนครับ สำหรับคอร์สนี้จะสนนราคาอยู่ที่ 1800 บาทถ้วน ไม่รวมเครื่องดื่มที่จะมีเมนูให้ดูเพิ่มเติมครับ หากอยากทราบว่าเมนูในช่วงนี้เป็นอะไร สามารถเข้าไปดูเมนูได้ที่ ig ของทางร้าน หรือ Request ขอรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุดิบเพิ่มเติม ซึ่งทางร้านจะให้มาเป็นกระดาษเลยครับ วันนี้เชฟแบล๊กไม่อยู่ แต่น้องชายซึ่งเป็น Manager อยู่ให้บริการแทน ขอเริ่มต้นด้วยเครื่องดื่มที่ได้ชิมวันนี้มี 2 ตัว ส่วนน้ำเปล่าฟรีนะครับ 1. Wild Ginger Ale ราคา 100 บาท: คือน้ำขิงที่มาปรุงหวานและเติมโซดาหน่อยๆ โดยปกติคนไทยจะไม่ค่อยทานในลักษณะนี้กัน และก็ไม่มีเครื่องดื่มประเภทนี้จำหน่ายแบบแมสเท่าไร รสชาติมีความหวานนำ ให้ความเผ็ดแบบขิงกลางๆ และปิดท้ายด้วยความขมเล็กๆ ทานแล้วเฟรชดีครับ 2. Organic Kalamansi & Wild Honey ราคา 100 บาท: ส้มจิ๊ดหรือมะปิ๊ดจากชุมพร ตัวนี้จะให้ความเปรี้ยวนำและโดดมากๆ หวานตามแบบน้ำผึ้ง และขมแบบเข้มๆ หน่อยปิดท้าย และเรามาสู่คอร์สของเราในวันนี้กัน 1. มะเขือเทศดองแบบญี่ปุ่น: หน้าตามินิมัล มะเขือดองแบบญี่ปุ่น สีแดงสวย ตอนแรกนึกว่าแตงโมมาปั้นเป็นก้อนกลม โรยด้วยคัตสึโอะ รสชาติไม่เหม็นเขียวแต่มีความหวานแบบมะเขือเทศ ออกเค็มๆ ได้ความอุมามิของคัตสึโอะมาตัด 2. ขนมปังครีมไตปลากาหยูกับหมูหวาน: ขนมปังยัดไส้หมูหวานซึ่งทำจากหมูสามชั้นคาคุนิ(ต้มซีอิ๊ว)และต้มอ้อย ซอสไตปลาที่ทำจากปลากาหยู เม็ดมะม่วงกับไข่แดงเค็มโรยหน้า เติมครัมเบิลพริกเพื่อเพิ่มความเผ็ด มีผสมกะทิในซอสไตปลา ขนมปังนุ่มอร่อย รสชาติค่อนข้างพอดี รู้สึกแห้งนิดหน่อย เผ็ดนิดๆ หมูมีความนุ่มเบาๆ อาจจะเพราะขนาดคำค่อนข้างเล็ก เลยรู้สึกว่ารสชาติจานนี้ยังไม่สามารถแยกแยะอะไรได้มากกว่านี้ 3. หลนปูม้า: จานนี้ได้วัตถุดิบหลักอย่างปูม้าจากสุราษฎร์ธานี นำมายำกับอ่องปูนาใส่ใบชะมวง มาสคาโปน และใบชะครามทอดที่รองด้านล่างสุด รสชาติอยู่ระหว่างยำกับเมี่ยง มีความมันเบาๆ เค็มเบาๆ ออกจืดมากกว่า ไม่รู้สึกเปรี้ยว สิ่งที่ทำให้จานนี้รู้สึกว่ามันเหมือนเมี่ยง มาจากกลิ่นใบเมี่ยงที่เด่นมากพอสมควร 4. ยำใบเมี่ยงสดซอสปลากระป๋องจำแลง: จานนี้มีวัตถุดิบหลักอย่างปลาช่อนทะเลจากชุมพร ที่ย่างด้วยเตาถ่าน ทานคู่กับยำใบเมี่ยงที่มีใส่ ใบชาดอง ยำผักบ้าน(ใบกระถิน) และราดด้วยซอสที่เบสมาจากน้ำซอสปลา มีแคปหมูเพิ่ม Texture กรุบกรอบ รสชาติแปลกดี เหมือนกินยำที่ไม่เหม็นเขียวจากผักสดทั้งหลาย และความเขียวๆเหล่านั้น ถูกชูรสชาติจากซอสปลากระป๋องให้รู้สึกชอบมากกว่าเกลียด เนื้อปลาอร่อยมีความหอมเตา juicy ไม่แห้ง ได้ความหอมจากเทอริยากิในเนื้อปลา 5. ปอเปี๊ยะสด: ตัวไส้ทำมาจากกุ้งยอที่ได้จากกุ้งแชบ๊วยจากสุราษฎร์ สอดไส้ด้วยผักชีสามอย่างคือ ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว ผักชีบ้าน และมีหอมแดงอยู่เล็กๆ ทานคู่กับข้าวแคบกรอบๆ ซอสพริกเผาหม่าล่าที่เอาความเผ็ดและชาออกไปให้เหลือแต่ความหอมผสมปลาแห้งและข้าวคั่ว แป้งปอเปี๊ยะมีความหนึบๆแบบบอกไม่ถูก อยู่ระหว่างนุ่มกับเหนียวที่ค่อนข้างพอดี ไส้เนื้อกุ้งยอหนึบมาก เคี้ยวได้นานและเพลินมากๆ หอมตัวผักชีที่กลิ่นไม่ตีกัน ตัวซอสหวานนำเผ็ดท้ายหอมข้าวคั่วเบาๆ แต่พอทานไปสักพักจะเริ่มชาหน่อยๆ ข้าวแคบกรอบอร่อย เพิ่ม Texture ความกรอบให้กับจานนี้ 6. โอโคโนมิยากิ: จานนี้มันคือพิซซ่าญี่ปุ่นที่ทำการ Deconstruct วัตถุดิบหลายๆ ส่วนออกสร้างความว้าวกว่าเดิม ตัวแป้งมีความหนึบๆ นุ่มๆ ดีกว่าพิซซ่าญี่ปุ่นที่เคยทาน ตัวกะหล่ำปลีจะนำไปผัดน้ำปลา ให้ texture ที่แห้งหน่อยๆและไม่เค็ม หมึกหอมทอดที่ด้านในนุ่มและหนึบ ซอสพริกกะปิทำเองรสชาติมันๆกลิ่นกุ้งแห้งเบาๆ มายองเนสทำเองตีด้วยไข่ขาวออแกนิค โรยด้วยคัตสึโอะและสาหร่าย จานนี้ถ้าทานแยกกันจะรู้สึกจืดและโดด แต่ถ้าทานด้วยกันจะเข้ากันหมด เหมือนเรากินพิซซ่าญี่ปุ่นจริงๆ 7. ราเม็งเส้นสดกุ้งย่างกับซอสไข่ปลาสาก: ราเมงเส้นสดทำเส้นเส้นหนึบๆ นุ่มๆ มีความกระด้างนิดๆ กลิ่นเส้นชูโรงจานนี้ได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟมาพร้อมกับกุ้งจากแม่น้ำตาปีจากนครศรีธรรมราชที่ย่างและทาด้วยซอสน้ำตาลมะพร้าวที่เคี่ยวเองระหว่างย่างกุ้ง เนื้อกุ้งมีความครีมมี่มันๆ กินแล้วอยากทานอีก มาพร้อมกับเครื่องเคียงอย่างเห็ดหูหนูขาวและดำ กากเจียว ต้นหอมซอย และสาหร่าย โรยด้วยการขูดไข่ปลาตาหวานลงไป และทำซอสจากไข่ปลาสากหรือเมนไทโกะ รสชาติออกมันๆ หอมแบบทะเล 8. ปลาทอดคาราเกะแกงคั่วฟักทอง: ใช้ปลาเก๋าเพลิงจาสุราษฎร์เช่นเดียวกัน ทอดแบบคาราเกะโดยชุบกับเบียร์บัตเทอร์ก่อนทอด เสิร์ฟมาพร้อมกับแกงคั่วฟักทองที่ใส่สมุนไพรสามตัวอย่าง ไพล กระทือ และเร่วหอม ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับสมุนไพรของภาคกลางจะเหมือนกับขิงข่าและตะไคร้เลยครับ เพียงแต่ 3 สมุนไพรดังกล่าวนี้จะให้รสชาติที่เข้มข้นกว่า ตัดเลี่ยนด้วยเครื่องเคียงอย่าง ชะอมทอด สายบัว ผักเคล วอเตอร์เครส เข้มกว่า รสชาติซอสเหมือนฉู่ฉี่ปลาเลยครับ มีความนุ่มหอมจากกะทิและหวานเบาๆจากฟักทอง ได้รสสมุนไพรทั้งสามแต่ไม่โดดจนกลบรสชาติโดยรวม เนื้อปลาทำออกมาได้ดีมาก นอกกรอบ ด้านในนุ่มเนื้อแน่น และฉ่ำไม่แห้งเลย เหมือนทานไก่ทอดคาราเกะที่ฉ่ำกว่า ตัวผักมาเพิ่มรสชาติขมกับตัดเลี่ยน ทำให้จานนี้ครบรสชาติครับ 9. ข้าวอบสาหร่ายในฤดูฝน: ประกอบด้วยข้าวโสมมาลีสกนนครนำไปอบสาหร่าย ทานคู่กับเครื่องเคียงกับ ดอกโสน ดอกขจร แตงกวา หน่อไม้ดองทำเอง เห็ดป่า มีใส่หัวกุ้งย่างที่ได้จากเมนูก่อนห้า เอามาแต่หัวมันๆล้วนๆ และมีเนื้อสัตว์อย่างปลากะพงและไก่ประดู่ ทางตัดเลี่ยนด้วยกิมจิและหอมแดงดอง และเพิ่มความชุ่มฉ่ำให้กับลำคอผ่านซุปหอยตลับใส่จิงจูฉ่าย ผักดองและพริกแห้งเพื่อเพิ่มความเผ็ด ตัวน้ำซุปมีความถั่วๆ มันๆ จะออกจืดๆและเผ็ดปิดท้ายนิดๆ ถ้าใครเคยกินเมนูอาหารจีนน่าจะคุ้นกับซุปนี้พอสมควร ส่วนตัวข้าวแนะนำว่าคลุกให้เข้ากันและตักมันกุ้งจากหัวกุ้งมาคลุกด้วยกัน จึงจะได้ความหวานมันนิดๆ แต่แอบมีหัวกุ้งที่มีของเสียติดอยู่ครับ ดีที่ไม่แตกออกมา ข้าวมีความแข็งแบบหนึบๆ เนื้อไก่ฉ่ำอร่อย เนื้อปลาทำได้ดี นุ่มไม่แห้ง หนังกรอบนิดๆ 10. ไอกรีมหมากเม่าแช่อิ่มกับข้าวเกรียบกุ้งแห้ง: หมากเม่าหรือในชื่อภาษาเหนือคือมะเกี๋ยง ผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวนำมาแช่อิ่มและทำเป็นไอศกรีม เสิร์ฟมาพร้อมกับผิวมะกรูดเชื่อมพริกเกลือ และคุกกี้ที่ทำจากกุ้งแห้ง: รสชาติไอศกรีมเหมือนส้มเขียวหวานที่เปรี้ยวเด่นๆ แต่มีการลดความเปรี้ยวลงด้วยน้ำตาลที่ผสมลงไปในไอศกรีม เปลือกมะกรูดมีความเหมือนขนมเปลือกส้ม แต่ถ้าเผลอกินหมดก่อนแล้วมากินไอศกรีม จะกลายเป็นว่าลิ้นด้านไม่รู้สึกถึงรสชาติของไอศกรีมเลยครับ ส่วนตัวคุกกี้ มีความแน่นๆ และรสชาติกุ้งแห้งที่ออกมาค่อนข้างเต็ม 11. ขนมปิดท้าย 4 อย่าง: จะมีไอศกรีมวานิลลา เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมอีก 3 อย่าง มีทาร์ตส้ม เค้ก และบิสกิตปิดท้ายที่จดไม่ทัน รสชาติโดยรวมคืออร่อยครับ ตัวไอศกรีมจะทานคู่กับทาร์ตส้มที่ด้านในมีส้ม 5 ชนิด ตัวเค้กจะมีความขมเบาๆ และปิดท้ายความขมแบบเต็มๆ ด้วยบิสกิตครับ เป็นขนมหวานล้างปากที่ดีจานนึงครับ โดยรวมแล้วรสชาติอาหารถือว่าอร่อยครับ เป็นการนำเสนอวัตถุดิบจากในประเทศในรูปแบบ Fine Dining ได้ดี และมีวัตถุดิบปริศนามากมายที่ทำให้เราได้รู้จักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋าเพลิงที่ปกติไม่ค่อยมีร้านไหนเอามาทำอาหารเพราะทำค่อนข้างยาก หรือจะเป็นสมุนไพรสามตัวอย่างไพล่ กระทือ และเร่วหอมที่สามารถเอามาแทนขิงข่าตะไคร้ได้อย่างเหนือชั้น หรือจะเป็นข้าวนานาชนิดที่ได้จากที่ต่างๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเกษตรกรและยกระดับอาหารได้อย่างน่าสนใจ ส่วนการบริการพอใช้ได้ครับ ถ้าเป็นตัว manager เองจะมีความเป๊ะของเมนูอาหารและวัตถุดิบค่อนข้างมากครับ แต่พนักงานจะสามารถอธิบายได้แค่บางอย่าง ซึ่งเราต้องไปหาข้อมูลมาประกอบการเขียนครั้งนี้เพิ่มเติมเอง อยากให้เทรนส่วนนี้เพิ่มเติมครับ ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจครับ ร้านนี้รับบัตรเครดิต แต่แนะนำว่าจองล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ #tothesea