มื้อกลางวัน

สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นแล้ว เชื่อว่าต้องคุ้นเคยกับคอร์สอาหารแบบโอมากาเสะ (Omakase) บ้างไม่มากก็น้อย โดยปัจจุบันนี้ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบ A la carte หลายๆร้านก็เริ่มมีการจัดคอร์สแบบ Omakase เป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าด้วย ซึ่งร้าน Koko Japanese Restaurant แห่งนี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ ความเร้าใจของร้านนี้คือการจัด Omakase วัตถุดิบพรีเมียมในราคาที่เอื้อมถึงง่าย มาฟินกันได้บ่อยๆแบบกระเป๋าไม่ฉีกนั่นเอง เมื่อมีโอกาสเราเลยต้องรีบนัดหมายกับเพื่อนๆไปลองกันบ้างล่ะค่ะ ****-ข้อมูลพื้นฐาน-**** Omakase ของทางร้านจะมี 2 แบบ (ข้อมูลเดือนมกราคม 2563) : • Full Course (20 คำ) 2,199 ++ บาท • Premium Course (20 คำ) 2,999++ บาท แม้จำนวนคำจะเท่ากัน แต่แน่นอนว่าวัตถุดิบของ Premium Course ก็จะหรูหรากว่า สมราคานั่นล่ะค่ะ ความแตกต่างอีกอย่างก็คือ Premium Course นั้นโดยมาก Head Chef และ Sous Chef ของทางร้านจะเป็นผู้มาทำอาหารให้ลูกค้าแบบคำต่อคำด้วยตัวเอง ส่วน Full Course นั้นมักเป็นเชฟคนอื่นๆมาดูแลแทน สำหรับคนที่ให้คุณค่ากับการได้พูดคุยเก็บเกี่ยวความรู้ด้านอาหารกับเชฟที่มากประสบการณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของมื้ออาหารแบบ Omakase ก็ควรจัดแบบ Premium Course กันไปเลยค่ะ สำหรับการชำระเงิน สามารถจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้โดยไม่มีการชาร์จเพิ่ม แต่ถ้าจ่ายเงินมัดจำจองไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันก็จะได้ส่วนลดอีก 200 บาทนะคะ คุ้มกว่าเห็นๆเลยล่ะ ****-การสำรองที่นั่ง-**** Omakase ของทางร้านจะมีทุกวัน วันละ 4 รอบ คือ 12:00┃16:00 ┃ 18:00 ┃ 20:00 ขอเน้นว่าต้องจองก่อนไป โดยสำรองที่นั่ง Omakase ได้ตามช่องทางต่อไปนี้ : โทร 02 115 7628 ┃088 627 8264 LINE ID : @kokojapanese (ใส่@ข้างหน้าด้วยนะคะ) หรือคลิกที่ลิงค์นี้ http://nav.cx/t44LWd IG :kokojapaneserestaurant ****-Premium Course Omakase 2,999 ++ บาท (20 Courses)-**** ความหมายของการทานอาหารแบบ Omakase นั้นเป็นการมอบความไว้วางใจให้เชฟเป็นผู้สรรค์สร้างเมนูที่ดีที่สุดให้ในแต่ละมื้อ ซึ่งเชฟก็จะคัดเลือกจากวัตถุดิบตามฤดูกาลที่สดใหม่มีคุณภาพดีที่สุดที่ทางร้านประมูลมาจากตลาดปลาที่ญี่ปุ่นได้ในวันนั้น ดังนั้นแม้จะมีเมนูเขียนไว้ให้พอเป็นแนวทาง แต่เวลาไปทานจริงคอร์สอาหารก็จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามแต่ที่เชฟจะเห็นสมควร รวมถึงถ้าใครแพ้อาหารชนิดไหนหรือไม่ทานอะไรก็สามารถแจ้งไว้ตั้งแต่ตอนจองได้เลยค่ะ 1. Foie Gras Chawan ไข่ตุ๋นเนื้อแน่นเนียนนุ่ม ท็อปด้วย Ikura และฟัวกราส์ชิ้นเล็กๆที่ผ่านการนำไปย่างบนเตาถ่านให้ไขมันหยดทิ้งไปบ้าง ทำให้มีผิวนอกกรอบ เนื้อในนุ่มและไม่เลี่ยนเลยค่ะ 2. Madai Susumono เนื้อปลามะไดแล่บางๆ ปรุงรสด้วยน้ำซอส susumono รสอมเปรี้ยวอมหวาน แทรกรสเค็มเบาๆจาก Ikura และสาหร่ายทะเล เป็นเมนูที่สดชื่นดีจริงๆ 3. Sashimi (Hirame Kombu) ซาชิมิเนื้อปลาฮิราเมะนี้นำไปซึเกะ(หมัก)กับสาหร่ายคอมบุจนเนื้อนุ่ม เสิร์ฟมาเป็น 2 ส่วนในจานเดียวกัน ชิ้นแรกจะมีส่วนครีบของปลาฮิราเมะ (Engawa) ชิ้นจิ๋ววางท็อปไว้ด้านบนของเนื้อปลาอีกที เป็น Engawa สดๆที่ไม่ได้ผ่านการย่าง ซึ่งหาทานยากทีเดียว ชิ้นนี้ปรุงรสด้วยเกลือ เวลาจะทานให้บีบน้ำส้มซึดาจิ (Sudachi) ที่วางเคียงมาให้ 1 เสี้ยว ให้รสเปรี้ยวที่หอมสดชื่นมากๆ เชฟแนะนำให้ทานเป็นคำแรกค่ะ ส่วนอีกชิ้นเป็นเนื้อปลาฮิราเมะที่ป้ายวาซาบิสดไว้ แตะโชยุเล็กน้อยก็อร่อยลงตัวเลย เมนูนี้เชฟบอกว่าถ้าบางวันประมูลได้ปลา Karei มาก็จะใช้ปลา Karei แทน Hirameนะคะ 4. Madai และแล้วก็มาถึงซูชิคำแรกของมื้อนี้ ข้าวซูชิของที่นี่ใช้ข้าวพันธุ์ดีจากนีงาตะ (Niigata Rice) หมักด้วย Rice Vinegar อย่างอ่อนทำให้แทบไม่มีกลิ่นรสใดๆเลย ใครที่ไม่ชอบให้ข้าวซูชิติดรสเปรี้ยวคงถูกใจล่ะ เชฟใช้เทคนิคการปั้นแบบใช้นิ้วกดก้อนข้าวให้ด้านในเป็นโพรงตรงกลางก่อนจะตะล่อมให้เป็นคำ ทำให้เม็ดข้าวเกาะกันกำลังดีไม่แน่นจนเกินไป เหมาะกับจะใช้มือหยิบทานนะ สำหรับคำแรกนี้เป็นซูชิปลามะได (Madai) เนื้อปลาสดเด้งปรุงรสด้วยเกลือมะนาว ท็อปด้วยผิวส้ม Yuzu ที่เชฟขูดใส่ให้สดๆเมื่อเสิร์ฟ เวลาทานเชฟแนะนำให้พลิกซูชิคว่ำลงให้เนื้อปลาสัมผัสลิ้นก่อนข้าวเพื่อจะได้รับรสความอร่อยของเนื้อปลาได้เต็มที่ ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้ได้กับ Nigiri Sushi แบบอื่นๆด้วยค่ะ 5. Kampachi ปลาคัมปาจิ (Kampachi) นั้นก็เป็นปลาในตระกูลเดียวกับปลาฮามาจินั่นเอง เพียงแต่ Kampachi จะมีไขมันน้อยกว่า เนื้อจึงมีความกรึบกว่านิดๆ นำมาทำเป็นซูชิท็อปหน้าด้วยสาหร่าย Iwanori บดสด ทานเพลินดีทีเดียว 6. Botan คำนี้เชฟหยิบกุ้งโบตันตัวโตมาแกว่งโชว์ยั่วน้ำลายกันก่อนเลย ตัดหัวกุ้ง กรีดเส้นเรียบร้อยก็ปั้นซูชิเสิร์ฟใส่จานมาสวยๆ ทีเด็ดคือวัตถุดิบราคาสูงและหายากอย่างไข่ปลา (Karasumi) ของปลาโบระ (พันธุ์เดียวกับปลากระบอก) ที่มีเฉพาะช่วงหน้าหนาว เชฟขูดโรยหน้ามาให้แบบท่วมๆเน้นๆไม่มีหวงกันเลย เนื้อกุ้งโบตันสดเด้งฉ่ำหวาน มาเจอกับไข่ปลาโบระเค็มๆมันๆ ก็เข้ากันดีไปอีกแบบนะ 7. Gai คำว่า Gai นั้นมีความหมายกว้างๆหมายถึงหอยแบบมีสองฝา วัตถุดิบที่ใช้จึงพลิกแพลงไปได้ตามแต่ชนิดของหอยที่ได้มาในแต่ละวัน สำหรับวันที่ไปนั้นเป็น Hotate หรือหอยเชลล์ตัวบิ๊กบึ้ม ย่างบนเตาถ่านมาพอหอมๆ เนื้อสดนุ่มฉ่ำ ห่อแผ่นสาหร่ายย่างกรอบๆทานแบบไม่ต้องใส่ข้าว อร่อยมากมาย... 8. Ankimo Monk Fish Liver และแล้วก็ถึงเมนูนี้ที่รอคอย ตับปลาอังคิโมะที่มีความหอมและสัมผัสที่เนียนแน่นดุจดั่งฟัวกราส์แห่งท้องทะเล หั่นมาชิ้นหนาๆ ราดซอสที่มีส่วนผสมของซอสพอนสึ ซอสเทริยากิ และ Truffle Oil ท็อปด้วยหัวไชเท้าฝนและผิวส้มซึดาจิ ครบรสทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน หอม ปลื้มปริ่มสุดๆไปเลย 9. Uni เป็น Nigiri Sushi หน้าไข่หอยเม่นพันธุ์ Bafun ซึ่งมีความหวานและสัมผัสที่ครีมมี่มากๆ มีกลิ่นรสตามธรรมชาติของ uni เข้มข้นทีเดียวค่ะ ชอบๆ 10. Maguro (Akami) ซูชิหน้าปลามากุโร่คำนี้ใช้เนื้อปลาส่วน Tenmi Akami หรือก็คือ Akami ส่วนที่อยู่ติดกับ Otoro และ Chutoro - จึงเป็นเนื้อ lean ที่พอมีไขมันแทรกอยู่บ้าง มีความนุ่มกว่า Akami ส่วนอื่นๆ และมีสีแดงสดใสน่าทาน อร่อยอีกแล้ว 11. Maguro (Otoro) ซูชิหน้า Otoroคำนี้ช่างงดงามสุดๆ ไขมันแทรกลายเต็มชิ้นปลา หวานนุ่มละลายในปาก แถมยังท็อปด้วยไข่ปลาคาเวียร์แล้วพ่นละอองผงทองใส่ให้หรูหรา แม้จะมาแบบพอดีคำไม่ได้ชิ้นโตตู้มต้ามมากนักแต่ก็ฟินจริงจังจ้า 12. Ikura Don ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนและไข่นกกระทา เสิร์ฟมาเป็นถ้วยย่อมๆ - สำหรับไข่ปลาแซลมอนนั้นทางร้านใช้เป็น Nama Sujiko หรือไข่อ่อนที่ติดรังไข่มาเป็นพวง มีความกรอบกว่า Ikura ทั่วไป เชฟนำมาดองกับโชยุอ่อนๆให้มีรสเค็มหน่อยๆ ส่วนไข่นกกระทาก็ดองในน้ำโชยุ 15 นาที แตะวาซาบิสด แต่งด้วยไข่ปลาคาเวียร์อีกหน่อย ข้าวที่ใช้สำหรับเมนูนี้จะแข็งกว่าข้าวที่ใช้ปั้นซูชิเล็กน้อยเพราะต้องการให้มีสัมผัสที่ตัดกันกับความนุ่มของ Nama Sujiko และความเหลวของไข่นกกระทานั่นเอง 13. Ma Saba เป็น Sushi Roll แบบไร้ข้าว นำเนื้อปลาซาบะสดมาม้วนแล้วห่อสาหร่ายทับ ตรงกลางยัดด้วยหัวไชเท้าที่ดองกับยอดข้าว งา ขิง และต้นหอม เนื้อปลาซาบะที่ใช้เป็นเกรดพรีเมียม สดกิ๊กแบบทานได้โดยไม่ต้องดอง ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจกับเมนูนี้เป็นพิเศษ เพราะดูจะเป็นเมนูที่โชว์ทักษะการปรุงรสชาติของเชฟได้เด่นชัดที่สุดค่ะ 14. Otoro Negi เป็น Temaki แบบ Omakase ที่ไม่ได้ทำเป็นกรวยแบบทั่วๆไป แต่ห่อตรงปลายให้แบนๆแล้วเอาสาหร่ายอีกแผ่นหุ้มไว้อีกทีกันไม่ให้ไส้ข้างในไหลออกมาเลอะเทอะ ที่ต้องห่อแบบนี้เพราะไส้มันตู้มมากมายค่ะ - Otoro เน้นๆหั่นแบบยังเห็นเป็นชิ้นๆให้รู้ว่าใช้ Otoro ล้วนๆ ไม่ได้เอาไปบดผสมเนื้อส่วนอื่น ปรุงรสด้วยต้นหอม ยัดมาแน่นเต็มกรวย ท็อปด้วย Ikura ล้นๆ สาหร่ายที่ใช้คือปิ้งกรอบๆเสิร์ฟเดี๋ยวนั้น ทำให้เป็น Temaki ที่นอกจากอร่อยแล้วยังทานสบายมากๆ สาหร่ายกรอบกริบกัดขาดง่ายๆไม่ต้องทึ้งเลย ดีงามจริงๆ 15. Zuwai Tempura Karazumi เทมปุระขาปูซูไว ทอดมาร้อนๆ แป้งฟูกรอบกริ๊บ มีอมน้ำมันนิดหน่อยตามธรรมดาของทอด โรยไข่ปลา (Karazumi) ของปลาโบระเพิ่มรสชาติเค็มมันให้ทานเปล่าๆแบบไม่ต้องจิ้มอะไรอีกค่ะ 16. Otoro Sandwich เมนูนี้ปกติต้องเป็นแซนด์วิชไส้เนื้อวัวโกเบ แต่สำหรับคนไม่ทานเนื้อ ทางร้านก็เปลี่ยนเป็นไส้ Otoro สับปรุงรสด้วยต้นหอมให้แทนค่ะ ตัวขนมปังนั้นปิ้งมาแบบกรอบๆเลย ด้านบนแต่งด้วยไข่ปลาแซลมอน พ่นผงทองสวยงาม ที่ชอบคือมีน้ำจิ้มทงคัตสึแบบเปรี้ยวราดมาให้ด้วย ช่วยให้มีรสมีชาติขึ้นเยอะเลยล่ะ **(ของแถม) หัวกุ้ง Botanทอด - ตัวนี้ไม่มีในเมนู แต่เชฟแถมให้ โดยเอาหัวกุ้งโบตันที่ตัดออกตอนที่ใช้ทำซูชินั่นแหละ เอามาชุบแป้งทอดจนกรอบกริ๊บกินได้ทั้งหัว ทานเพลินๆกันไป 17. Buri No Suimono ปิดท้ายของคาวด้วยซุปร้อนๆ ใส่เนื้อปลาบุรี รสชาติกลมกล่อมซดคล่องคอดีค่ะ 18.Tamago Bate เป็นไข่หวานที่เนื้อสัมผัสเหมือนสปันจ์เค้กนุ่มๆ ใช้ไข่ออร์แกนิก ผสมมันอิโมะ และเพิ่มความหวานด้วยเหล้าหวานแทนการใช้น้ำตาล ทำได้ดีทีเดียวนะ 19. Melon ทั้งสด ทั้งหวาน เนื้อฉ่ำมาก คัดมาดีจริงๆ 20. Strawberry Daifugu ขนมไดฟูกุแป้งบางนุ่ม ไส้ถั่วแดงกวนเนื้อละเอียด ตรงกลางเป็นสตรอเบอร์รี่สดที่นำเข้าจากอิบารากิ อมเปรี้ยวอมหวาน หอมอร่อย เป็นการจบมื้อนี้ลงได้อย่างสมบูรณ์ค่ะ ****-ทำเลที่ตั้ง / บรรยากาศ-**** ร้านอยู่ด้านหลังอาคารหะรินธรในซอยสาทร 4 ติดกับที่จอดรถของอาคารเลยค่ะ ทำเลจัดว่าซุกซ่อนพอสมควรแต่ก็เดินทางไปได้สะดวก สามารถจอดรถในตึกหะรินธรได้ฟรี 3 ชั่วโมง และสำหรับคนที่ไม่ได้เอารถไปก็อยู่ในระยะที่เดินถึงได้ (ราวๆ 1 กม.) จากทั้ง BTS ศาลาแดง / MRT สีลม / MRT ลุมพินี ค่ะ ด้านหน้าร้านมีสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นตกแต่งไว้สวยงาม ด้านในร้านแยกบริเวณระหว่างที่นั่งทั่วไปสำหรับลูกค้าที่มาทานแบบ a la carte และที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์สำหรับลูกค้าที่มาทานแบบ Omakase และทางร้านกำลังต่อเติมกั้นห้องสำหรับทาน Omakase โดยเฉพาะให้มีความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้นอีกด้วย ****-The Verdict-**** สำหรับ Omakase มื้อนี้ ทั้งรสชาติและวัตถุดิบอาหารถือว่าดีงามคุ้มราคามากๆ Sous Chef ที่มาทำอาหารให้ก็อัธยาศัยดี พูดคุยให้ได้ความรู้แถมยังสนุกสนาน จัดเป็นประสบการณ์ทาน Omakase ที่ดีมื้อนึงเลย ทราบมาว่าราคาของ Omakase ที่นี่จะมีการปรับเปลี่ยนทุกๆ 3-4 เดือน เนื่องจากต้องปรับตามราคาวัตถุดิบของแต่ละฤดูกาล ใครอยากมาลอง Omakase ของวัตถุดิบช่วงฤดูหนาวกับราคาดีๆโดนใจแบบนี้ก็ต้องรีบมาจัดกันหน่อยล่ะค่ะ #Jan2020

  • 17
  • 0
20/01/18

Other Reviews