มื้อเย็น

อันเนื่องมาจากการหาเรื่องฆ่าเวลาเพื่อรอลูกเรียนพิเศษ เลยเอารถจอดทิ้งไว้ในซอยโปลิศสภาข้างคลองผดุงกรุงเกษมแล้วตัดสินใจเดินมาทางตรอกโรงหมูข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับวัดไตรมิตร เพื่อจุดหมายของการนี้คือ ร้านหัวปลาดั้งเดิม “ตั้งจั๊วะหลี” ร้านเก่าแก่ เมื่อเมนูมาถึงมือ ไม่ต้องคิดมากเพราะเป้างานนี้คือเมนูปลา ทางร้านมีปลาให้เลือกสี่ชนิดคือ ปลาจีน ปลาเก๋า กระพง และจาระเม็ดซึ่งหมดพอดี ลังเลอยู่นานว่าจะเลือกปลาอะไร อันเนื่องมาจากอาการเข็ดความคาวของปลาน้ำจืด เลยแอบมีใจให้ปลาเก๋า แต่ในที่สุดด้วยเหตุผลสามอย่างคือ หนึ่งปลาเก๋าเหลือแต่เนื้อ หัวหมด สองหม้อไฟที่เล็กสุดของเก๋าราคา 700 ส่วนปลาจีน 350 บาทถูกกว่ากันครึ่งๆ และสามซึ่งสำคัญสุด เรามาตามรอยเปิปของพ่อ เพราะฉะนั้นเป็นเอกฉันท์ว่า ปลาจีน วินๆ พอเลือกปลาเสร็จก็มาถึงน้ำแกง ทางร้านให้เลือกสามแบบ ต้มเผือก ต้มบ๊วย ต้มยำ ป้าพนักงานเชียร์ต้มเผือกสุดใจ บอกว่าเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน เมื่อเผือกถูกต้มลงในน้ำซุปจนได้ที่ ความมันและความหวานของมันจะละลายเข้ากับน้ำซุปผนวกกับความหวานของเนื้อปลา ดับความคาว เค เราเลือกต้มเผือก ไม่เคยทานเว้ย นี่ครั้งแรก แล้วป้าแกถามต่อว่าหัวปลาจะเอาทอดหรือต้มเฉยๆ ทอดเหรอ? บอกกับตัวเองว่าพยายามเลี่ยงอยู่ แต่ด้วยการเชียร์ของป้าเหมือนเชียร์เบียร์ แกบอกว่าทอดจะยิ่งดับคาวเลยตัดสินใจว่าเป็น หัวปลาจีนทอดต้มเผือกมาเลยที่นึง สักพักแบบธูปครึ่งก้านมอด...หม้อไฟหัวปลาจีนทอดต้มเผือกถูกยกมา น้ำเดือดปุดๆ หอมฉุย ทั้งอโรม่าของเผือกต้มแบบได้ที่ กลิ่นน้ำซุป กลิ่นหัวปลาต้ม ร้านนี้หม้อไฟคือหม้อไฟ หมายความว่าใช้ถ่านเป็นก้อนๆ ไม่มีการใช้หม้อไฟแสร้งว่าแบบเอาแอลกอฮอลล์มาทำเป็นไฟลุกเอาเท่ห์ คว้าตะบวยตักน้ำซุปขิมก่อนเลย ผับผ่า! ความรู้สึกมันเหมือนจิบแรกของเบียร์วุ้น หวานจริงๆ อร่อยมาก มีความหอมของเผือกกับน้ำต้มกระดูกปลาอย่างที่เค้าว่าจริงๆ อันดับต่อไปคือครั้งแรกของการลิ้มชิมปลาจีน ปลาจีนที่ร้านใช้และขึ้นชื่อมา 30 กว่าปีคือปลา “ซ่งฮื้อ” การกินปลาชนิดนี้ถือว่าเป็นอาร์ตอย่างนึงเนื่องจากเป็นปลาที่ก้างเยอะ คำแรกที่เอาชิ้นปลาเข้าปากคือต้องอมไว้ก่อน เวลานั้นเองความหวานของเนื้อเริ่มกระจายออกจากเนื้อและละลายในปาก พร้อมกับลิ้นทำหน้าที่ในการสำรวจก้าง กระบวนการนี้แหละที่นักทานปลาจีนบอกว่าอร่อยนักหนา เพราะการกลืนช้าทำให้ต่อมรับรสทำงานกับเนื้อปลานานๆ ไม่มีความคาวเลย บอกตรงๆ ทางร้านจะให้น้ำจิ้มมาสองถ้วย ชนิดแรกคือพริกเขียวตำกับกระเทียมผสมน้ำมะนาว อีกถ้วยคือเต้าเจี้ยวอย่างดี วิธีกินที่พ่อสอนคือคีบเนื้อปลาจิ้มน้ำจิ้มพริกเขียวก่อนแบบชุ่มๆแล้วจิ้มตามด้วยเต้าเจี้ยว นี่คือความฟินน์เฟี้ยวชนิดคุณหรีดต้องร้องกรี๊ด การกินหัวปลาให้อร่อยและดูว่าใครกินเป็น คือพ่อบอกต้องกินให้เลอะเทอะชนิดน้ำจิ้มกระจายทั่วโต๊ะ เศษก้างเศษกระดูกถุยได้ถุย แล้วกองไว้บนโต๊ะแหละ กินพออิ่ม ปลาหมด เผือกไม่หมด ค่าเสียหาย 360 บาท น้ำชาจีนแบบรีฟิวว์ฟรี (ใบเสร็จโคตรคอนเซอร์)

  • 10
  • 2
18/11/29

Other Reviews

ร้านอาหารบริเวณใกล้เคียง