ร้านนี้ถือเป็นคาเฟ่กุยช่ายแห่งแรกของย่านตลาดพลูก็ว่าได้ ย่านนี้ถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่หลายๆ คนมักจะนึกถึงเมนูนี้ ถึงกับมีชื่อเรียก “กุยช่ายตลาดพลู” แต่ทุกร้านที่ขาย จะเป็นแบบที่ลูกค้าต้องซื้อกลับไปทานที่บ้านทั้งนั้น เพราะฉะนั้นร้านนี้จึงตอบโจทย์ลูกค้าหลายๆ กลุ่ม บรรยากาศร้าน เป็นห้องแอร์ มีโต๊ะจัดเตรียมไว้พอสมควร ร้านสะอาด นั่งสบาย แต่คาดว่าช่วงวันหยุด ลูกค้าน่าจะเต็มร้าน เพราะขนาดเราแวะไปวันธรรมดา ยังมีลูกค้าแวะเวียนมาตลอดเวลา จุดเด่นของกุยช่ายร้านนี้ คือ “แป้งที่เหนียวนุ่ม ลื่นลงคอ ใส่ไส้เยอะ” ซึ่งเป็นสูตรที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “ลี้ป๋อเง็ก” (อาม๊าคนโต) ซึ่งถ้านับเวลาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงกิจการจำหน่ายกุยช่ายในรุ่นปัจจุบัน ก็เป็นเวลาเกือบๆ 100 ปี ถือว่าเป็นร้านกุยช่ายที่ประวัติยาวนานมากทีเดียว เมนูหลักๆ ของที่ร้านคือ กุยช่ายและเครื่องดื่ม แต่ก็มีเมนูเสริมอย่างอื่นเพิ่มเติมเล็กน้อยเช่น ขนมจีบและหมี่กะทิ ในส่วนของกุยช่ายเอง จะมี 2 แบบคือ แบบกลมและแบบสี่เหลี่ยมทอด (โชยจี่ก๊วย) สำหรับกุยช่ายแบบกลม สามารถสั่งแบบนึ่ง (ลูกละ 10 บาท) หรือแบบทอด (ลูกละ 12 บาท) ก็ได้ เมนูที่ลองชิม: “กุยช่ายสี่เหลี่ยมทอด” (โชยจี่ก๊วย) จานละ 30 บาท >> แป้งด้านนอกจะผิวกรอบนิดๆ แต่เนื้อด้านในยังนุ่มอยู่ คนละแบบกับกุยช่ายทอดข้างทางที่เนื้อจะแห้งๆ หน่อย ของร้านนี้มีความพิเศษตรงที่เท็กซ์เจอร์จะมีความคล้ายขนมผักกาด ปรุงรสมาละมุนดี มีรสหวานติดปลายลิ้น พอราดน้ำจิ้มสูตรของที่ร้าน ที่ออกเผ็ดนิดๆ ก็เสริมรสชาติได้ลงตัว แนะนำค่อยๆ ราดน้ำจิ้ม จะดีกว่าราดไปรวดเดียว ผิวจะได้คงความกรอบจนชิ้นสุดท้าย ส่วนกุยช่ายกลม เราลองชิมแบบทอด แค่ไส้หน่อไม้ >> ตัวแป้งมีความบางกำลังดี ผิวกรอบนิดๆ ไส้เยอะ ปรุงรสมากลมกล่อม ทานตอนร้อนๆ อร่อยทีเดียว สำหรับเครื่องดื่มที่สั่ง “โอเลี้ยง” (20 บาท) ถือเป็นโอเลี้ยงที่ใช้กาแฟดีเลยนะคะ (ยี่ห้อย่งฮะฮวด) เมล็ดกาแฟคั่วมาแบบไม่มีกลิ่นไหม้ ติดมาด้วย และชงมาแบบหวานน้อย เราติดใจกุยช่ายของที่ร้านจนต้องหิ้วกลับไปฝากที่บ้าน จากที่สอบถามจากผู้ที่ได้ชิมหลากหลากรสชาติ ดูจะติดใจไส้ผักมากที่สุด แพกเกจจิ้งของที่ร้านก็ออกแบบมาดี สามารถซื้อเป็นของฝากได้เลยค่ะ #Jan2020