ได้ฤกษ์งามยามดี ไปอุดหนุน ร้าน Heychomthaidessertbar ตรงท่าเตียน ข้าวเหนียวมะม่วงดีงามมาก มะม่วงคัดเกรดอย่างดีซื้อตรงจากสวน หวานกำลังดี ดี๊ดี เค้กมะพร้าวก็ดีงามมาก อร่อยกำลังดีไม่หวานไม่เลี่ยน เนื้อนุ่ม (พึ่งถอนฟันมากินได้) น้ำชาอัญชันก็ดีงาม เสิร์ฟพร้อมพวงมาลัย นึกว่าจะเอามาบูชาลูกค้า เฮ้ยๆๆ เอาไว้ให้ลูกค้าไว้ถ่ายรูปสวยๆ สายขนมต้องมาโดนกันนะจ๊ะ ขอบอกว่าขนมๆ ไทย ฝีมือเชฟ Le Cordon Bleu เชียวนะ ขนมอร่อย พิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบ ขนาดนี้ Michelin ต้องลงแล้วล่ะ ใครสนใจอยากกิน สั่งซื้อทาง Line ได้นะจ๊ะ @Heychom สั่งเลย อร่อยทุกอย่าง
Comfort food ของดีดีทำพิถีพิถันทุกขั้นตอนราคาแค่ 150 บาทต่อจาน เป็นอะไรที่ดีต่อกายและใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวผัดกระเทียม/ผัดซอสแจ่วนัวมากไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย โปะหน้าด้วยแซลมอน/หมูย่างชิ้นโต เมนูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย รสชาติกลมกล่อมนัวทั่วๆ ไปทั้งจาน จำได้ว่ามาครั้งแรกเกือบสิบปีแล้วมั้ง ดียังไงก็อย่างงั้นไม่มีเปลี่ยน ราคาก็ไม่ปรับเปลี่ยนสูงอะไรขึ้นมาเลย ช่วงนี้ทางร้านเปิดให้นั่งทานในร้านแค่สามที่นั่ง และยังเน้นเดลิเวอรี่เป็นหลัก ร้านทำอาหารค่อนข้างช้าเลย หิวๆ ไปไม่ได้นะ เผื่อเวลารอซักครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำ
เป็นที่ยกให้เป็นร้านข้าวผัดที่หอมกลิ่นกระทะ อร่อยสุดๆ ร้านเล็กๆ ตอนนี้เดินทางสะดวกลงสถานีมิวเซียมสยามแล้วเดินมาอีกนิดหน่อย แนะนำว่าต้องไปลองครับ
เป็นอีกร้านที่ต้องตั้งใจแวะมาทานพอสมควร และตัวร้านก็ค่อนข้างเล็กมากๆ ที่นั่งไม่เยอะ ไม่เหมาะมาทานเป็นกลุ่มใหญ่ บรรยากาศร้านไม่ค่อยเหมือนร้านอาหารซักเท่าไหร่ คล้ายๆ บ้านที่ขายอาหารเป็นงานอดิเรกมากกว่าทำจริงจัง ส่วนเมนูอาหารในแต่ละวันก็แล้วแต่วัตถุดิบที่เจ้าของร้านมีในวันนั้น อย่างวันนี้เราตั้งใจแวะมาทานเมนูกุ้งแม่น้ำเผา แต่อดสั่งเพราะร้านหาวัตถุดิบไม่ได้ ก็เลยต้องสั่งเมนูเท่าที่มีบนกระดาน วิธีการสั่งอาหารที่นี่จะแปลกซักหน่อยนะคะ สำหรับใครที่แวะมาครั้งแรก ก่อนอื่นต้องรีบไปรับบัตรคิวจากคุณแม่เชฟก่อนหลังจากเดินเข้าร้านมา พอได้บัตรคิว ก็ต้องนั่งรอจนกว่าจะถึงคิวตัวเองถึงจะเริ่มสั่งได้ โดยเชฟที่ทำอาหารมีคนเดียว ทำทุกๆ อย่างเองไม่ว่าจะเป็นเตรียมวัตถุดิบ ลงมือปรุง เสริฟ ชงเครื่องดื่ม โดยจะทำเสร็จเป็นโต๊ะๆ ไป คล้ายๆ ร้าน Pastale แถวย่านพระนคร แต่ร้านนั้นมีเมนูหลากหลายกว่า ระหว่างรอ เราสามารถแวะไปเดินเล่น จิบกาแฟแถวนั้นได้เลยนะคะ (20-30 นาที) แต่ห้ามเอาเครื่องดื่มที่ดื่มไม่หมดเข้ามาในร้าน เค้ามีป้ายห้ามติดไว้ วัตถุดิบหลักๆ ของที่ร้านคือ เนื้อปูก้อนกับปลาแซลมอน หลังจากที่ถามจากคุณแม่เรื่องเนื้อปู เห็นว่าสดใหม่ทุกวัน เราเลยลองสั่งเป็นเมนู “ข้าวผัดกากหมูเนื้อปู” (160 บาท) ส่วนเครื่องดื่มเลือกมาเป็น “โฮจิฉะเย็น” (75 บาท) “ข้าวผัดกากหมูเนื้อปู”: ปริมาณดูเหมือนจะน้อย แต่ก็ทานอิ่มกำลังพอดีนะคะ ข้าวใช้ข้าวหอมมะลิเกรดดี เนื้อปูก็มาเป็นพู สดแท้แน่นอน ไม่ใช่เนื้อปูฟรีซ รสที่ปรุงมาจะออกกลางๆ เราแอบเติมน้ำปลาพริกเพิ่ม ถึงจะพอดีสำหรับตัวเอง จานนี้ผัดมาใช้ไฟแรงพอดี ได้กลิ่นหอมๆ ของการคั่วข้าวในกระทะ แต่พรีเซนเทชั่น ออกจะโล้นไปหน่อย เพราะไม่มีผักใดๆ รวมทั้งมะนาว จัดวางมาด้วย ทานไปซักพักก็จะเลี่ยนนิดนึง ต้องตักเม็ดพริกขี้หนูสาดลงไป ถึงจะดีขึ้น “โฮจิฉะเย็น” (75 บาท) ใช้ชาเกรดค่อนข้างดีมาชง มีความหอมและหวานน้อย ถือว่าใช้ได้อยู่ค่ะ โดยรวมก็ถือว่าเป็นคาเฟ่ขนาดเล็กที่แวะได้ถ้าผ่านมาแถวนี้ แต่เมนูอาหารมีให้เลือกน้อยไปหน่อย พอไม่มีเมนูกุ้งแม่น้ำขายทุกวัน เราเลยไม่รู้สึกถึงความพิเศษกว่าคาเฟ่ร้านอื่นซักเท่าไหร่ ส่วนราคาอาหาร เราคิดว่าสมราคาอยู่เมื่อเทียบกับวัตถุดิบที่ใช้ เพียงแต่วิธีการจัดการร้าน ดูเข้าถึงยากไปนิดนึง และไม่มีที่จอดรถที่สะดวกใกล้ร้าน ทำให้ความน่าสนใจของร้านลดลงไปพอสมควร