เป็นอีกร้านที่ต้องตั้งใจแวะมาทานพอสมควร และตัวร้านก็ค่อนข้างเล็กมากๆ ที่นั่งไม่เยอะ ไม่เหมาะมาทานเป็นกลุ่มใหญ่ บรรยากาศร้านไม่ค่อยเหมือนร้านอาหารซักเท่าไหร่ คล้ายๆ บ้านที่ขายอาหารเป็นงานอดิเรกมากกว่าทำจริงจัง ส่วนเมนูอาหารในแต่ละวันก็แล้วแต่วัตถุดิบที่เจ้าของร้านมีในวันนั้น อย่างวันนี้เราตั้งใจแวะมาทานเมนูกุ้งแม่น้ำเผา แต่อดสั่งเพราะร้านหาวัตถุดิบไม่ได้ ก็เลยต้องสั่งเมนูเท่าที่มีบนกระดาน วิธีการสั่งอาหารที่นี่จะแปลกซักหน่อยนะคะ สำหรับใครที่แวะมาครั้งแรก ก่อนอื่นต้องรีบไปรับบัตรคิวจากคุณแม่เชฟก่อนหลังจากเดินเข้าร้านมา พอได้บัตรคิว ก็ต้องนั่งรอจนกว่าจะถึงคิวตัวเองถึงจะเริ่มสั่งได้ โดยเชฟที่ทำอาหารมีคนเดียว ทำทุกๆ อย่างเองไม่ว่าจะเป็นเตรียมวัตถุดิบ ลงมือปรุง เสริฟ ชงเครื่องดื่ม โดยจะทำเสร็จเป็นโต๊ะๆ ไป คล้ายๆ ร้าน Pastale แถวย่านพระนคร แต่ร้านนั้นมีเมนูหลากหลายกว่า ระหว่างรอ เราสามารถแวะไปเดินเล่น จิบกาแฟแถวนั้นได้เลยนะคะ (20-30 นาที) แต่ห้ามเอาเครื่องดื่มที่ดื่มไม่หมดเข้ามาในร้าน เค้ามีป้ายห้ามติดไว้ วัตถุดิบหลักๆ ของที่ร้านคือ เนื้อปูก้อนกับปลาแซลมอน หลังจากที่ถามจากคุณแม่เรื่องเนื้อปู เห็นว่าสดใหม่ทุกวัน เราเลยลองสั่งเป็นเมนู “ข้าวผัดกากหมูเนื้อปู” (160 บาท) ส่วนเครื่องดื่มเลือกมาเป็น “โฮจิฉะเย็น” (75 บาท) “ข้าวผัดกากหมูเนื้อปู”: ปริมาณดูเหมือนจะน้อย แต่ก็ทานอิ่มกำลังพอดีนะคะ ข้าวใช้ข้าวหอมมะลิเกรดดี เนื้อปูก็มาเป็นพู สดแท้แน่นอน ไม่ใช่เนื้อปูฟรีซ รสที่ปรุงมาจะออกกลางๆ เราแอบเติมน้ำปลาพริกเพิ่ม ถึงจะพอดีสำหรับตัวเอง จานนี้ผัดมาใช้ไฟแรงพอดี ได้กลิ่นหอมๆ ของการคั่วข้าวในกระทะ แต่พรีเซนเทชั่น ออกจะโล้นไปหน่อย เพราะไม่มีผักใดๆ รวมทั้งมะนาว จัดวางมาด้วย ทานไปซักพักก็จะเลี่ยนนิดนึง ต้องตักเม็ดพริกขี้หนูสาดลงไป ถึงจะดีขึ้น “โฮจิฉะเย็น” (75 บาท) ใช้ชาเกรดค่อนข้างดีมาชง มีความหอมและหวานน้อย ถือว่าใช้ได้อยู่ค่ะ โดยรวมก็ถือว่าเป็นคาเฟ่ขนาดเล็กที่แวะได้ถ้าผ่านมาแถวนี้ แต่เมนูอาหารมีให้เลือกน้อยไปหน่อย พอไม่มีเมนูกุ้งแม่น้ำขายทุกวัน เราเลยไม่รู้สึกถึงความพิเศษกว่าคาเฟ่ร้านอื่นซักเท่าไหร่ ส่วนราคาอาหาร เราคิดว่าสมราคาอยู่เมื่อเทียบกับวัตถุดิบที่ใช้ เพียงแต่วิธีการจัดการร้าน ดูเข้าถึงยากไปนิดนึง และไม่มีที่จอดรถที่สะดวกใกล้ร้าน ทำให้ความน่าสนใจของร้านลดลงไปพอสมควร