ร้านอาหาร Fine Dining ร้านดังอีก 1 ร้านที่เชียงใหม่ อันที่จริงก็มีสาขาที่กรุงเทพเช่นเดียวกัน แต่ด้วยสาขาที่กรุงเทพจะเป็นสาขาย่อยที่เชฟไม่ได้ลงมือเอง (เชฟจะประจำอยู่เชียงใหม่เป็นหลัก) ดังนั้นแนะนำว่าหากมาเชียงใหม่และมีงบประมาณอยู่แล้ว ควรมาทานที่นี่จะคุ้มค่ากว่าครับ ก่อนจะมาทานควรโทรจองที่นั่งก่อนครับ หรือสามารถทักเข้าไปใน Line ของทางร้านเพื่อทำการจอง โดยจะมีการชำระค่ามัดจำเพิ่มเติมตามจำนวนคนก่อนครับ และชำระส่วนที่เหลือที่ร้านอีกที โชคดีที่ใน Wongnai มีขายดีลของร้านนี้พอดี ซึ่งสามารถ Save ค่าใช้จ่ายได้พอสมควร และยังมี Kombucha ให้ในเซตโดยไม่เสียเงินเพิ่มเติมด้วยครับ และสามารถใช้เซตนี้ในการมัดจำค่าอาหารก่อนได้เลยครับ ตำแหน่งร้านจะอยู่นอกเมืองครับ ค่อนข้างลับนิดหน่อย โดยหากมาจากเส้นทางหลักจะงงกับไฟแดงที่สามารถเลี้ยวขวาเข้าตรงทางเข้าได้แบบไกลๆ เหมือนเป็นสี่แยก 2 อันที่แชร์ใช้ไฟแดงอันเดียวกันครับ ถ้าไม่ใช่คนเจ้าถิ่นก็จะงงมากครับ และขับตรงเข้าไปไม่ไกล ก็จะเจอร้านนี้ครับ สามารถขับเข้าไปจอดได้เลยครับ มีที่จอดอยู่พอสมควร ตัวร้านค่อนข้างใหญ่พอสมควร และมีบริเวณด้านหน้าสำหรับนั่งพักหรือสูบบุหรี่ครับ เมื่อเราเข้าไปในร้าน พนักงานจะสอบถามการจอง และให้เราสามารถเลือกที่นั่งได้เลยครับ โดยวันนี้เลือกที่นั่งใกล้ๆกับเคาเตอร์เพื่อจะได้ดูการทำอาหาร และแสงไฟดีกว่านั่งที่เคาเตอร์ครับ สำหรับเมนูอาหารวันนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 9 คอร์ส โดยแบ่งเป็น appetizer จำนวน 5 คำเป็น 1 คอร์ส และอีก 8 course ด้วยกันครับ นอกจากนี้ก็มีเครื่องดื่มที่เราสามารถ Pairing กับเมนูได้ทั้งเครื่องดื่ม Kombucha หรือจะเป็นไวน์ แต่ทาง manager เองจะแนะนำเป็น pairing กับไวน์มากกว่า ซึ่งผมไม่ทาน เลยสั่งเครื่องดื่มเป็น Kombucha และน้ำแปล่ามาทานเพิ่มแทน ซึ่งวันนี้ได้ลอง Kombucha ด้วยกัน 2 ตัวคือ 1. Sparkling Kombucha ราคา 180 บาท: ตัวนี้จะมีแบบเดียว เป็น Kombucha เติมโซดา จะมีความแอลกอฮอล์ที่เบากว่าและได้ความซ่าที่มากกว่า รสชาติเบาๆ ไม่กลบรสชาติอาหารหลัก แต่ทานเยอะๆ ก็มีท้องอืดครับ 2. Kombucha by the glass ราคา 160 บาท: ทางผู้จัดการร้านให้เราได้ชิม 2 ตัว โดยตัวแรกเป็นกากกาแฟมาทำ และอีกตัวเป็นมะเขือเทศครับ ซึ่งพอชิมแล้ว ตัวมะเขือเทศอร่อยกว่า มีความหวานและรสชาติเข้าถึงง่ายกว่า เลยเลือกเป็นจานนี้ ด้วยความที่ผ่านการหมักเลยมีรสขมจากแอลกอฮอล์ที่ผ่านการหมักเข้ามานิดหน่อย หากไม่ทานแอลกอฮอล์อยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงครับ สำหรับเมนูของวันนี้ประกอบด้วยเมนูตามนี้ครับ 1. Seafood ประกอบด้วยอีก 5 คำย่อย ก็จะมี a. หอยชักตีน: จานนี้ใช้วัตถุดิบอย่างหอยชักตีนจากสุราษฎร์ มาพร้อมกับครีมที่ทำจากข้าวโพดสีขาว แต่งด้วยคาเวียร์สีส้มทำจากมะนาวเล็บมือนางจากสะเมิง ตัวกระทงทองเปลี่ยนเป็นสีดำที่ทำจากชาร์โคล รสชาติค่อนข้างดีออกจะธรรมชาติ มีเนื้อสัมผัสหอยที่อร่อย หอมตัวกระทงทองและมีความกรุบกรอบ b. กุ้งลายเสือ: ได้กุ้งไซต์ใหญ่จากสุราษฎร์เช่นเดียวกัน ทานคู่กับซอสอะโวคาโดที่ผสมกับมันกุ้งเพื่อเชื่อมกับตัวแครกเกอร์ทำจากกากสาโทหรือโคจิ และด้านบนท๊อปด้วยซอสดอกข่า รสชาติ หวานมันละมุน เนื้อกุ้งคือดีงาม นุ่มอร่อย มีกลิ่นเบิร์นเบาๆ ส่วนเครื่องเคียงมาประกอบให้กุ้งดูเด่นขึ้นอีก c. ปลากะมงพร้าว: ปลากะมงพร้าวเป็นปลาที่ไม่ค่อยอยู่เป็นฝูงครับ ดังนั้นเวลาจะจับต้องตกปลาเอาจะง่ายกว่า โดยมาจากสุราษฎร์และผ่านการ aging 1 วัน วางอยู่ในฝาหอยและราดด้วยน้ำหมักจากลูกมะเม่า และหยดสีเขียวที่ทำจากโหระพา ท๊อปด้วยผงมะเขือเทศแห้ง รสชาติหลักจะเด่นที่ตัวปลา มีความเข้มข้นเบาๆ เนื้อนุ่มอร่อย ไม่คาว หวานแบบธรรมชาติ ส่วนตัวน้ำหมักเพิ่มความเปรี้ยวแบบเฟรชๆ ช่วยเคลียลิ้นได้เป็นอย่างดี d. ปลาเก๋ามัง: ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาเก๋าประเภทไหน ที่ใกล้เคียงน่าจะเป็นปลาเก๋ามังกร โดยปลาตัวนี้มาจากสุราษฎร์อีกเช่นเคย นำมาทาซอสและเผาไฟ ทานคู่กับพริกหม่าล่าที่เอาความเผ็ดและความชาที่เป็นเอกลักษณ์ออกไป เพื่อให้เหลือแต่ความหอม บีบส้มจิ๊ดลงไปและห่อด้วยใบเมี่ยงก่อนทาน รสชาติจะมีความขมๆ จากตัวส้มจิ๊ด ที่บอกว่าพริกไม่ชา จริงๆ มีความชาในตอนท้ายครับ แต่ไม่ได้ชาจนไม่รู้สึกถึงรสชาติอื่นๆ เนื้อปลามีความหอมจากการเบิร์น นุ่มอร่อย และไม่คาวเช่นเดียวกัน e. ปลาหมึก: ตกมาจากสุราษฎร์เหมือนวัตถุดิบอื่นๆ นำมาคลุกกับซอสพริกหมัก ที่ใส่พุทราจีน กระเทียมโทน และต้นหอมซอย เนื้อปลาหมึกดี มีความสดและเด้งหนึบนุ่ม รสชาติจะมีความนัวๆ แบบบอกไม่ถูกครับ และกลิ่นรสของพุทราจีนค่อนข้างเด่นพอสมควร 2. ทุ่งนา: มาถึงขนมปังทานเล่นซึ่งทางเชฟเสิร์ฟมาถึง 3 แบบโดยมีคอนเซปคือทุ่งนา ทำเป็นมัฟฟินที่จะออกนุ่มๆ โรยด้วยของสามอย่าง สามมัฟฟิน ได้แก่เกล็ดข้าวโพด บือพะโดะหรือข้าวของปากะญอที่สีออกขาวๆ และข้าวหอมปลายที่เป็นสีดำ ทานคู่กับเนยปูอ่องที่นำมันปูนามาตีเข้ากันกับเนยครับ รสชาติจะมีความมันๆจากตัวเนย ตัวมัฟฟินมีความกรอบนอกนิดๆ นุ่มใน และมีกลิ่นที่แอบซ่อนอยู่อย่างหอมๆ 3. กุ้งฝอย: เริ่มเข้าสู่จานหลักจานแรก ที่มาเป็นสไตล์แฮมเบอร์เกอร์ แต่ใช้กุ้งฝอยเป็นเนื้อสัตว์หลัก ผ่านการปรุงด้วยเนย มีแตงกวา และทามาโกะที่แทนขนมปังทำมาจากเนื้อปลาดุก และหยดน้ำมันเบคอนก่อนเบิร์นเพื่อสร้างความหอม สิ่งที่รู้สึกคือมีความหอมจากกลิ่นเบิร์น เนื้อทามาโกะมีความแน่นนิดๆ ไม่รู้สึกถึงกลิ่นคาว เนื้อกุ้งฝอยมีความหอมๆ 4. ปลาส้มนวลจันทร์: ปลาน้ำจืดจากพะเยานำมาทำเป็นเนื้อทาร์ต แต่งด้วยไข่ผำสีเขียวๆ ดอกไม้ได้จากสวนของร้านซึ่งสามารถทานได้ และมีมะละกอที่นำไปผสมกับชัดเน่ และตัวทาร์ตที่ทำจากเปลือกโคจิ เวลาทานให้นำชัดเน่มะละกอมาทาที่ตัวแครกเกอร์ เนื้อปลาให้รสสัมผัสที่มีความมันๆ เปรี้ยวจากตัวแยมและมีกลิ่นซินนามอนอ่อนๆ ในตัวแยม รสชาติแปลกพอสมควร 5. The nest: เมนู Signature ที่เราจะเห็นจากรูปถ่าย คือไข่ลวกออนเซ็นจากแม่ไก่อารมณ์ดี เสิร์ฟมาบนรังนกที่ทำจากหมี่กรอบ และเนื้อไก่ฉีกเป็นเส้นที่ผัดกับซอสที่เคี่ยวจากกระดูกไก่และมีโคจิที่เติมเข้าไปด้วย เวลาทานให้ตอกไข่ใส่รังนกและคลุกให้เข้ากันก็ได้ หรือจะทานแยกเป็นส่วนๆ ก็ดีครับ รสชาติตัวไก่จะมีความเหมือนไก่ผัดซีอิ๊วแบบเด็กๆ ไม่เค็มและมีความละมุนแบบบอกไม่ถูก หมี่กรอบกรอบอร่อย และทานรวมๆแล้วจะได้ความมันๆ จืดๆครับ 6. Main: จานนี้ใช้เนื้อไทยที่เป็นส่วนของคอกับพื้นท้องหรือส่วนของ Brisket ที่ปกติไม่ค่อยมีใครเอามาทำเท่าไร มาผ่านการ Dry Aged 30 วันและย่างผ่านถ่านไม้ลำไย รองด้านล่างด้วยเห็ดผัดและหน่อไม้ดองเอง ตัวซอสที่ทาผ่านการเคี่ยวดด้วยกระดูกล้วนจนงวดและเข้มข้น ท๊อปด้วยผักแพรว เวลาทานต้องการด้วยกัน รสชาติจะเข้ากันมากกว่า มีความหอมของเนื้อที่ได้จากไม้ลำไย นุ่มอร่อยไม่เหนียว ออกจะแรร์แต่ไม่มีกลิ่นสาบ ถ้าอยากได้ความหวานต้องทานเนื้อคู่กับเห็ดผัดครับ ส่วนผักแพรวมาเติมกลิ่นและรสชาติให้ครบถ้วน 7. กรานิต้ามะวาว: หรือผลควินซ์ที่เราไม่ค่อยคุ้ยเคยกัน มาทำเป็นกรานิต้าคล้ายน้ำแข็งไส มีความเปรี้ยวแบบเฟรชๆ สำหรับล้างลิ้นก่อนเข้าสู่เมนูของหวานครับ 8. วอมไรซ์พุดดิ้ง: เป็นข้าวดอยจากเชียงรายมาทำเป็นขนม ผสมกับครีม นม และพีทเชื่อม เสิร์ฟมาพร้อมกับวิปปิ้งและข้าวพองสีดำ เวลาทานให้เปิดถุงที่ผูกเชือกไว้อยู่ครับ จะได้กลิ่นหอมๆ ของซินนามอนที่ออกมาเบาๆ และเสิร์ฟจานนี้มาแบบร้อนๆ รสชาติมีความครีมมี่ มันๆ ออกหวานเบาๆ จากตัวข้าว ให้ความรู้สึกที่แปลกดีครับ 9. ชาอู่หลง: เป็นชาที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอเลยครับ ด้วยใบชาที่เก็บจากยอดน้ำค้างและผ่านการบ่มและคั่ว เราจะได้กลิ่นหอมของมะลิเบาๆ เป็นชาตัวนึงที่อร่อยมาก จนอยากรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่ทางผู้จัดการก็ไม่ยอมบอกแต่อย่างใด 10. Sweet Ball: มีอยู่ด้วยกัน 3 ลูกโดยเสิร์ฟมาในถ้วยที่มีหินเย็นๆ ทานคู่กับชาอู่หลงที่เสิร์ฟมาก่อนหน้า ตัวลูกสีดำทำจากชาร์โคลและด้านในมีน้ำผลไม้ซ่อนอยู่ ต้องทานเป็นตัวแรกเพราะอาจจะละลายก่อน ส่วนอีกสองลูกเป็นกาแฟที่หุ้มด้วยผงโกโก้อีกที และอีกลูกจะหุ้มด้วยข้าวพองแทน รสชาติให้ความรู้สึกเหมือนทานช๊อกบอล ให้รสชาติขมๆ เป็นหลัก อร่อยดีครับ โดยรวมแล้วเป็นมื้ออาหารที่คล้ายๆ กับโอมากาเสะที่เน้นรสชาติอาหารแบบออริจินัลมากกว่า แต่มีการผสมผสานรสชาติแบบไทยๆ เข้าไปเพิ่มเติม ทำให้อาหารมื้อนี้น่าสนใจมากๆครับ ราคาเองก็ถือว่าไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับรสชาติอาหารที่ได้ทาน แต่อาจจะลำบากที่ต้องลงทุนบินมาเชียงใหม่หน่อยๆ หากอยากทานอาหารจากเชฟเจ้าของตำรับ ส่วนการบริการเป็นระดับแบบร้าน Fine Dining พนักงานทุกคนมีความสามารถในการแนะนำเมนูอาหารได้เป็นอย่างดี อาจจะลำบากนิดหน่อยเวลาเจอชาวต่างชาติที่ฟังภาษาอังกฤษออกอย่างเดียว ก็จะเป็นผู้จัดการร้านที่เข้าไปคุยโดยตรง ตอนแรกคิดว่าร้านนี้จะค่อนข้าง Formal แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือความเป็นกันเองมากกว่า manager เองก็แนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารได้เป็นอย่างดีครับ เป็นร้านนึงที่หากมีงบประมาณ ไม่ควรพลาดเมื่อมาเชียงใหม่ครับ #tothesea