Passion Telling : Vinotheque

Vinotheque ร้านอาหารญี่ปุ่นฟิวชันแบบลับ ๆ ที่ควรจองก่อนไปหากไม่อยากพลาดมื้อพิเศษ ซึ่งชื่อร้านมาจากคำว่า Vino (ไวน์) และ Theque (ชั้นวาง) รวมกันจึงเป็น “Vinotheque” เพราะด้วยความที่ทางร้านมีห้องสำหรับเก็บไวน์และเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่นจำนวนมาก และด้วย concept ของทางร้านที่อยากให้เป็นร้าน Charcoal Grill Steak ที่สามารถ Enjoy กับการดื่มให้ได้มากที่สุด

ทางร้านได้เชฟผู้มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี เป็นผู้รังสรรค์สุดยอดเมนูต่าง ๆ ที่ได้คัดสรรค์วัตถุดิบจากทั่วทุกมุมโลกตามฤดูกาล และมีเทคนิคการปรุงอาหารแบบญี่ปุ่นที่ดีที่สุดซึ่งได้ประยุกต์มาจากประสบการณ์การที่สั่งสมมานั่นเอง โดยเชฟได้เริ่มต้นจากการเป็นเชฟ KAPPO และ KAISEKI ต่อด้วยการเป็นเชฟ TEPPAN ในประเทศญี่ปุ่น และยังมีความรู้ด้านอาหารจีน ฝรั่งเศส อิตาลี ขนมหวาน ไวน์ เครื่องดื่มญี่ปุ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้เชฟมีเทคนิคการปรุงอาหารในแต่ละเมนูด้วยวิธีที่ดีที่สุด

โดยเมนูหลักของทางร้านจะเป็น Kobe Wagyu Beef, Dry-Aged Black Angus Beef และ Beef Tongue steak นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารทะเล และเมนูเครื่องเคียงสำหรับจับคู่กับไวน์ และเครื่องดื่มอื่น ๆ ซึ่งถ้าใครอยากดื่มแบบไหนสามารถแจ้งได้ หรือจะให้เชฟแนะนำก็ได้เช่นกัน

เมนู Signature ของร้าน ที่เชฟตั้งใจรังสรรค์ด้วยการนำหมูไปซูวี (Sous Vide) 5 ชั่วโมง เพื่อให้ได้เนื้อที่สุกพอดีและสีสวยน่าทาน หลังจากนั้นจะนำไปชุบแป้งทอด เสิร์ฟคู่กับขนมปังเนื้อนุ่มและซอสสูตรเฉพาะของเชฟทานแล้วเข้ากันสุด ๆ

เมนูสเต๊กลิ้นวัวที่เชฟได้นำลิ้นวัวไป Dry-Aged มากว่า 50 วัน++ แล้วหั่นชิ้นหนาพอดีก่อนนำไปย่าง ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมยังนุ่มมาก ๆ

สเต๊กหอยเป๋าฮื้อ ในญี่ปุ่นจะเรียกหอยเป๋าฮื้อว่า “awabi” ซึ่งในอดีตชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารสำหรับชนชั้นสูง และจะต้องเป็นคนมีศักดิ์หรือตำแหน่งเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ทาน โดยเมนูนี้เชฟใช้หอยเป๋าฮื้อสด ๆ ตัวเป็น ๆ ส่งตรงจากฮอกไกโดนำย่างเล็กน้อยแล้วนำไปผัดกับตับและสาหร่ายแล้วปรุงรส เสิร์ฟมาบนฝาหอยพร้อมกับการตกแต่งด้วยดอกไม้ ทานแล้วมีหลายรสสัมผัสที่ได้จากตัวหอยเองและส่วนผสมต่าง ๆ ทั้งนุ่ม ทั้งกรุบ ในรสชาติที่กลมกล่อม

ที่เชฟตั้งใจพิถีพิถันด้วยการนำหมูชิ้นหนาไปซูวี (Sous Vide) 7 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้ได้เนื้อที่สุกพอดีและสีสวยน่าทาน แล้วนำไปชุบแป้งทอดอีกรอบ เสิร์ฟคู่กับขนมปังนมฮอกไกโดเนื้อนุ่มและซอสสูตรพิเศษของเชฟ ทานคู่กับไวน์แดงเข้ากันสุด ๆ

พาสต้าซอส Mentaiko หรือไข่ปลาทาระ/ปลาคอด เป็นเมนูที่ต้องตกใจในความใหญ่ของ Mentaiko เพราะนอกจากจะมี mentaiko ขนาดปกติแทรกมากับซอสแล้วนั้น เชฟยังวาง mentaiko ทั้งตัวชิ้นบิ๊กเบิ่มจากฟุกุโอกะมาด้านบนอีกด้วย ซึ่งวิธีทานจะต้องขยี้ไข่ด้านบนลงไปผสมกับสปาเกตตีด้านล่าง เป็นเมนูฟิวชันรสชาติเข้มข้น และได้สัมผัสกรุบกรับของไข่ปลาคอด บวกกับน้ำซอสแล้วรสชาติกลมกล่อม

อีกหนึ่งเมนูจานยักษ์ที่ทั้งใหญ่และหนัก หัวทูน่าย่างเมนูที่หาทานยากมาก ๆ แม้ในกระทั้งประเทศญี่ปุ่น เมนูนี้เชฟจะนำหัวทูน่าผ่าครึ่งแล้วย่างด้วยสมุนไพรและซีอิ๊วสูตรพิเศษ ที่เต็มไปด้วยคอลลาเจนทยิ่งทานคู่กับไวน์แดงจะเข้ากันมาก ๆ (เมนูต้องจองไว้ก่อนล่วงหน้าน้า)

เมนูเนื้อดิบที่เชฟใช้เนื้อสันนอกคุณภาพดีปรุงรสด้วยซอสหมักสูตรดั้งเดิม แล้วท็อปด้วยไข่แดงด้านบนและเพิ่มรสสัมผัสด้วยต้นหอมญี่ปุ่น ตัวเนื้อสด รสชาติเข้มข้น และนุ่มมากทานแล้วเหมือนละลายในปากเลย

เป็นเมนูที่เชฟจะนำเนื้อไปเบิร์นไฟก่อนไม่เกิน 30 วินาที แล้วเซิร์ฟพร้อมกับซอส Sukiyaki สูตรพิเศษ และท็อปด้วยไข่แดงสดด้านบน เมื่อทานคู่กันยิ่งทำให้เนื้อนุ่ม รสชาติกลมกล่อมและเข้มข้นในแบบ Sukiyaki ซึ่งเมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดนิยมของร้าน Yakiniku ในญี่ปุ่นอีกด้วย

เมนูสตูผ้าขี้ริ้วในซอสมะเขือเทศแบบเข้มข้น เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังให้ทานคู่กัน

เมนูสตูลิ้นวัวที่ตุ๋นลิ้นวัวจนนุ่ม และเปื่อย ในน้ำซุปรสชาติเข้มข้นแต่ไม่ได้หนักจนเกินไป ไม่มีกลิ่น ทานแล้วเหมือนจะละลายไปในปากเลยทีเดียว

เมนูนี้สะดุดตาตั้งแต่ภาชนะที่เชฟนำมาเสิร์ฟแถมยังตกแต่งจานด้วยดอกไม้สีสันสดใส เป็นเมนูแซลมอนที่เชฟนำไปซูวี (Sous Vide) ให้สุกพอเหมาะ แล้วปรุงรส เมนูนี้รสชาติเข้มข้น เนื้อแซลมอนนุ่มมาก

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่างชีสเค้กเนื้อเนียนนุม รสชาติเปรี้ยวนิดหวานหน่อยแบบกำลังดีทานได้เรื่อย ๆ แบบไม่เลี่ยนเลย

นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมี Omakase เนื้ออีกด้วย ใครสาย Omakase มาลองกันได้นะ และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นคือเรื่องไวน์และเครื่องดื่มนานาชนิดของที่นี่ บอกเลยว่านักดื่มจะต้องถูกใจร้านนี้แน่นอนเพราะที่นี่นอกจากจะมีห้องเก็บไวน์แล้ว ทั้งเชฟและพนักงานภายในร้านยังเชี่ยวชาญเรื่องไวน์และเครื่องดื่มอีกด้วย ใครอยากดื่มแบบไหนบอกเชฟและทีมงานได้เลย และต้องขอแอบกระซิบอีกนิดนึงด้วยว่าเครื่องดื่มที่นี่ราคาดีมาก ๆ ด้วย

ถ้าใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวที่ร้านก็มีห้อง Private เปิดให้บริการอยู่บนชั้นลอยเช่นกัน ส่วนใครที่อยากชมตอนเชฟปรุงอาหารแนะนำให้นั่งเคาเตอร์หน้าเตาเลย เพราะจะได้เห็นเกือบทุกขั้นตอนที่เชฟทำอาหารให้เราทานแบบติดขอบเตาเลยทีเดียว แถมเชฟยังน่ารักอีกมาก ๆ ด้วย หากใครสนใจอยากตามมา Diner กับคนรู้ใจ หรือจะมา Party กับเพื่อน ก็ตามมาลองกันได้ที่ร้าน Vinotheque เลยยย