เป็นเนื้อวัว แต่ทำไมเรียก ‘ เสือร้องไห้ ’ ?!

13/11/2022
ถ้าเพื่อนๆไปร้านอาหารอีสานมักจะสั่งเมนูอะไรกันบ้าง ? ในบรรดาอาหารอีสานที่เรามักจะสั่งกินกัน ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ไก่ย่าง หรือลาบแล้ว แน่นอนยังมีอีกหนึ่งเมนูที่เราไม่เคยพลาดที่จะสั่ง นั่นก็คือเมนู เสือร้องไห้ เป็นส่วนของเนื้อวัวที่ย่างมาอย่างดี สไลด์เป็นชิ้นพอดีคำ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่ว ซึ่งไม่มีใครจะอดใจไหวที่จะห้ามใจไม่ให้กินชิ้นต่อไป แต่ทุกคนเคยสงสัยกันไหมครับว่าทั้ง ๆ ที่มันเป็นเนื้อวัวแต่ทำไมเรียกว่า ‘เสือร้องไห้’ วันนี้เราจะพาทุกคนไปไขข้อสัยนี้กัน ไปกันเลย
ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่าเมนูเสือร้องไห้นั้น เป็นเนื้อส่วนอกของเนื้อวัว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Brisket จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 2 ส่วน คือ ส่วนยอดอก กับ ส่วนแฟลต โดยจะมีไขมันคั่นระหว่างกลาง ซึ่งเนื้อยอดอกจะมีไขมันมากที่สุดและจะมีไขมันเป็นลายแทรกอยู่คล้ายหินอ่อน ส่วนเนื้อแฟลตจะมีไขมันน้อยกว่า โดยทั้งสองส่วนก็สามารถนำมาทำเมนูเสือร้องไห้ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนั่นเอง
ส่วนที่มาของชื่อเมนู ‘เสือร้องไห้’ นั้น มีหลายเรื่องเล่าอยู่ด้วยกัน แต่วันนี้เราหยิบมา 4 เรื่องที่เป็นที่เล่าขานกันมากที่สุด ลองไปดูกันเลย ว่ามีอะไรบ้าง
1.เรื่องแรกเขาเล่ากันว่ามีเสือลายพาดกลอนได้ล่าวัวมาได้หนึ่งตัว จากนั้นได้ทำการกินเนื้อวัวเกือบหมดทั้งตัวจนอิ่ม จนกระทั่งไปเจอเนื้อส่วนนี้ที่ลองฝืนกินต่อเพราะเสียดาย แต่เมื่อกินไปแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมาก และเนื่องจากเสือนั้นได้กินเยอะจนอิ่มมาก ๆ ทำให้ไม่สามารถกินเนื้อส่วนนี้ต่อไปได้ เลยทำได้แค่นั่งร้องไห้เพราะเสียดายเนื้อส่วนที่อร่อยแต่กินต่อไม่ไหวแล้ว
2.ด้วยลักษณะของเนื้อส่วนนี้มีไขมันที่แทรกอยู่ในตัวเนื้อมีลักษณะคล้ายลายเสือ และเมื่อนำไปย่างกับไฟร้อน ๆ ในส่วนของไขมันจะละลายแล้วหยดลงเตา ทำให้เกิดเสียง ซู่ ซ่า เหมือนเสียงเวลาเสือร้องไห้นั่นเอง
3.เพราะไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อส่วนนี้ ทำให้ค่อนข้างเหนียวและต้องใช้เวลานานในการเคี้ยว จึงมีการนำไปเปรียบเทียบกับเสือว่า เหนียวขนาดนี้ต่อให้เป็นเสือที่เป็นสัตว์นักล่า แต่ถ้าได้เคี้ยวเนื้อส่วนนี้ ยังต้องถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว
4.เนื้อส่วนนี้เป็นส่วนที่อยู่ในอกของวัว ซึ่งมีซี่โครงกั้นอยู่ ทำให้เสือไม่สามารถที่จะเข้าไปกินได้ เพราะมีหัวที่ใหญ่เกินไป ทำได้แค่เอาลิ้นไปสัมผัสรสชาติที่หวาน แสนอร่อย แต่กินไม่ถึง เมื่อนายพรานเห็นพฤติกรรมของเสือ จึงทำให้เหล่านายพรานเรียกเนื้อส่วนนี้ว่าเสือร้องไห้ เพราะมันอยากกินแต่ไม่สามารถกินได้นั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ทั้ง 4 ข้อที่เราได้หยิบมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ซึ่งที่มาของเสือร้องไห้นั้นมีหลากหลายเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเกิดจากอาการอิ่มจนไม่สามารถกินเนื้อส่วนนี้ได้ ลักษณะร่างกายที่ใหญ่เกินไป ลายบนชิ้นเนื้อที่มีลักษณะคล้ายลายเสือกับเสียงในขณะย่าง หรือแม้กระทั่งความเหนียวของเนื้อ ก็ล้วนเป็นเรื่องราวที่เชื่อกันว่าเป็นที่มาของชื่อเมนู ‘ เสือร้องไห้ ’ นั่นเอง
แต่ไม่ว่าที่มาของชื่อเมนูนี้จะมีที่มามากจากไหนก็ตาม เชื่อว่าเมนูเสือร้องไห้ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคนกินเนื้อไม่มากก็น้อย ซึ่งอยากบอกทุกคนว่าประโยชน์ของไขมันในเนื้อส่วนนี้ ถ้าหากย่างให้ดี จะทำให้เนื้อมีความนุ่ม แถมยังช่วยดูดซับวิตามิน A , D และ K ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย พร้อมกับมีโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายเราได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก https://bit.ly/3O68bbJ https://bit.ly/3A7m4Au https://bit.ly/3WRCs23